"

Image Hosted by CompGamer Image Host      Image Hosted by CompGamer Image Host
กลับไปยังรายบอร์ด โพสต์ใหม่
สินเชื่อรถยนต์ วงเงินสูงสุด สมัครง่าย ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือผู้ค้ำประกัน

ต้องการเงินสด รถคุณช่วยได้ ให้ดอกถูกผ่อนนานไม่มีเงินเดือนประจำก็ยื่นได้
- ให้ยอดจัดสูง ดอกเบี้ยต่ำ อนุมัติง่าย ถูกต้องตามกฏหมาย ผ่อนได้สูงสุด 72 งวด
- รับรถทุกรุ่นทุกยี่ห้อ รถหรู รถสปอร์ตนำเข้าราคาแพง ไม่จำกัดวงเงิน
    หรือรถบ้านทั่วไป
- ที่อื่นไม่รับเราจัดให้ ได้ทั้ง ลูกค้า บุคคล หรือ บริษัท
    ยื่นทีเดียวพร้อมกันหลายคันก็ได้
- ที่เก่าผ่อนสูง ต้องการยืดระยะเวลาให้ผ่อนน้อยลงสามารถทำได้
- รถยังผ่อนอยู่ แต่อยากใช้เงินก็สามารถทำได้
   (เช็คยอดค้างไฟแนนซ์ทั้งหมดก่อนโทรปรึกษา)
- อยู่ต่างจังหวัด สามารถจัดไฟแนนซ์ได้
- ไม่ต้องเป็นเจ้าบ้าน - บ้านเช่าก็จัดได้

สำหรับสินเชื่อรถยนต์ให้วงเงินสูงสุดถึง 100% ของมูลค่ารถ

คุณสมบัติของผู้สมัคร

  - สมัครง่าย ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือผู้ค้ำประกัน
  - ผ่อนนาน 60-72 เดือน
  - อายุ 20- 60 ปี
  - สัญชาติไทย

เอกสาร
1. สำเนาบัตรประชาชน
2. สำเนาทะเบียนบ้าน
3. สำเนาบัญชีย้อนหลัง 3-6 เดือน
4. สลิบเงินเดือน(เดือนล่าสุด)หรือ หนังสือรับรองเงินเดือนก็ได้
5. สำเนาทะเบียนรถ
6. แผนที่บ้าน และ ที่ทำงาน

เอกสารครบ รู้ผลเลย รับเงิน ภายใน 3 วันทำการ

สนใจสมัคร คลิกที่นี่

http://www.d-credit.com ID LINE : d-credit
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

พีพีวี-เอสยูวีพุ่งเดี่ยวสวนตลาด ค่ายรถแห่เปิดตัวรุ่นใหม่ชิงเค้ก
เปิดปีวอกตลาดรถอเนกประสงค์แบบเอสยูวีคึกคักทันที เมื่อค่ายฮอนด้าได้แนะนำซับคอมแพ็กต์เอสยูวีรุ่นใหม่ “บีอาร์-วี” สู่ตลาดไทยอย่างเป็นทางการ และในฐานะเป็นเซกเม้นท์ที่กำลังมาแรง จึงทำให้ค่ายรถอื่นๆ ไม่ยอมทิ้งโอกาสเช่นกัน โดยเฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมนี้ หลายค่ายเตรียมเปิดตัวรถใหม่เพื่อชิงยอดจองอย่างดุเดือด ในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2016 ...
เปิดปีวอกตลาดรถอเนกประสงค์แบบเอสยูวีคึกคักทันที เมื่อค่ายฮอนด้าได้แนะนำซับคอมแพ็กต์เอสยูวีรุ่นใหม่ “บีอาร์-วี” สู่ตลาดไทยอย่างเป็นทางการ และในฐานะเป็นเซกเม้นท์ที่กำลังมาแรง จึงทำให้ค่ายรถอื่นๆ ไม่ยอมทิ้งโอกาสเช่นกัน โดยเฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมนี้ หลายค่ายเตรียมเปิดตัวรถใหม่เพื่อชิงยอดจองอย่างดุเดือด ในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2016 ...
อีซูซุจ่อส่ง ‘มิว-เอ็กซ์1.9 ดีดีไอ’ ลุย!
ส่วนความร้อนแรงของตลาดรถพีพีวี เป็นผลมาจากการเปิดตัวโฉมใหม่ใหม่ ทั้งแบบโมเดลเชนจ์และไมเนอร์เชนจ์เกือบทุกรุ่น ยกเว้นเพียง “อีซูซุ มิว-เอ็กซ์” ที่ยังไม่ขยับในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ตามรายงานข่าวตรีเพชร อีซูซุเซลส์ เตรียมเขย่าตลาดรถพีพีวี ด้วยการเปิดตัวรุ่นไมเนอร์เชนจ์ของมิว-เอ็กซ์สู่ตลาดไทย และเป็นครั้งแรกในโลกตามสไตล์ของค่ายรถรายนี้ โดยจะแนะนำสู่สาธารณชนอย่างเป็นทางการ ในงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ 2016 ปลายเดือนมีนาคมนี้
แน่นอนหัวใจหลักของมิว-เอ็กซ์ ใหม่ จะเน้นไปที่ขุมพลังใหม่เครื่องยนต์ดีเซล RZ4E-TC 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ ที่เพิ่งเปิดตัวและนำมาวางครั้งแรกในโลกกับปิกอัพอีซูซุ ดีแมคซ์ 1.9 ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ ใหม่ 150 แรงม้า เมื่อปลายปีที่ผ่านมา และมาทำตลาดแทนรุ่น 2.5 ลิตรเช่นเดียวกัน โดยมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติ 6 จังหวะ เพื่อทำตลาดคู่บล็อกเดิม 3.0 ลิตร 177 แรงม้า
ในส่วนของรูปลักษณ์หน้าตาภายนอก มีการแต่งหน้าทาปากใหม่แต่ไม่ได้เป็นการปรับโฉมใหม่หมด ซึ่งเป็นไปในลักษณะเดียวกับปิกอัพดี-แมคซ์ที่เพิ่งเปิดตัวไป อาจจะแตกต่างในรายละเอียดเรื่องความหรูหรามากขึ้น รวมถึงภายในที่มีการเพิ่มเติมอุปกรณ์อำนวความสะดวกสบาย และความปลอดภัยเข้าไป พร้อมกับปรับราคาขึ้นตามภาษีใหม่ด้วย
โตโยต้าแลกหมัดรถอเนกประสงค์
ทางฝ่ายคู่แข่งสำคัญ “โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์” แม้จะครองความเป็นผู้นำตลาดรถพีพีวีในปัจจุบัน เห็นได้จากยอดขายตลอดปีที่ผ่านมากว่า 3.1 หมื่นคัน และในเดือนมกราคมล่าสุดของปีนี้ทำไปทั้งหมด 2 พันคัน และตามด้วย มิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต โฉมใหม่เกือบ 1.8 พันคัน แต่เมื่อคู่แข่งอีซูซุ มิว-เอ็กซ์เริ่มขยับ ทำให้เจ้าตลาดไม่สามารถนิ่งอยู่ได้
ตามรายงานข่าวช่วงต้นเดือนมีนาคมนี้ โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จะทำการแนะนำรุ่นใหม่ของโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ซึ่งเป็นการเพิ่มรุ่นพิเศษมาเป็นอีกทางเลือกให้กับผู้บริโภค และจะมีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมอุปกรณ์เข้าไปด้วย เพื่อเป็นการแลกหมัดกับอีซูซุ มิว-เอ็กซ์แบบไม่ยอมหลีกทางให้
นอกจากนี้โตโยต้ายังมีแผนจะแนะนำรถอเนกประสงค์แบบเอ็มพีวี “โตโยต้า อินโนวา” โฉมใหม่ ซึ่งเป็นรถที่พัฒนาบนพื้นตัวถังของปิกอัพ โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ เช่นเดียวกับรุ่นฟอร์จูนเนอร์ เพียงแต่เอ็มพีวีรุ่นอินโนวาจะใช้โรงงานในประเทศอินโดนีเซียเป็นฐานการผลิต และนำเข้ามาทำตลาดในไทยเช่นเดียวกับรุ่นปัจจุบัน
ซีเอ็กซ์-5 ใหม่, เอ็มจี จีเอส มาแล้ว

http://manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

ดูแลรักษาแอร์รถยนต์ให้ถูกต้อง
ย่างเข้าสู่หน้าร้อน เครื่องปรับอากาศหรือแอร์รถยนต์ถึงคราวต้องทำงานหนักอีกแล้ว วิธีที่จะช่วยให้แอร์รถยนต์ของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและใช้ งานได้นาน "มติชน" มีข้อแนะนำดังนี้
1. ก่อนจะสตาร์ตเครื่องยนต์ทุกครั้ง ควรตรวจดูสวิตช์ควบคุมคอมเพรสเซอร์ (ปุ่ม A/C) ว่าอยู่ในลักษณะใด เปิดหรือปิด ถ้าหากเปิดอยู่ให้กดปิดเสียก่อนที่จะสตาร์ตเครื่องยนต์ เพื่อไม่ให้คอมเพรสเซอร์ต้านทานการหมุนของเครื่องยนต์ในขณะสตาร์ต
2. หลังจากเครื่องยนต์ติดเรียบร้อยแล้ว ให้เปิดสวิตช์พัดลมของเครื่องปรับอากาศก่อน โดยปรับไปที่ตำแหน่งความเร็วสูงสุด ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที เพื่อไล่ลมร้อนจากช่องปรับอากาศ
หลังจากนั้น จึงเปิดสวิตช์ควบคุมคอมเพรสเซอร์ (ปุ่ม A/C) ปรับสวิตช์ที่ใช้ปรับระดับความเย็นไปที่ตำแหน่งเย็นสุด แล้วจึงปรับสวิตช์ควบคุมความเร็วของพัดลมและสวิตช์ควบคุมระดับความเย็นลงสู่ ตำแหน่งที่สัมพันธ์กับอุณหภูมิภายในห้องโดยสารตามต้องการ
3. หลังจากเลิกใช้งานก่อนดับเครื่องยนต์ ควรปิดสวิตช์คอมเพรสเซอร์ (ปุ่ม A/C) ก่อน เพื่อหยุดการทำงานของคอมเพรสเซอร์ แต่ยังคงเปิดสวิตช์พัดลมแอร์ไว้ในตำแหน่งที่แรงสุดเพื่อให้พัดลมแอร์เป่าลม ผ่านตัวคอยล์เย็น หรือตู้แอร์ จะมีสภาพเปียกชื้น และมีหยดน้ำมาเกาะอยู่ในขณะที่คอมเพรสเซอร์ทำงาน และเพื่อเป็นการไล่ความชื้นออกจากตัวคอยล์เย็นให้เร็วขึ้น
วิธีนี้ เป็นอีกวิธีหนึ่งในการลดความอับชื้น สาเหตุทำให้แอร์มีกลิ่นเหม็นอับ รวมทั้งยังช่วยยืดอายุการใช้งานของตัวคอยล์เย็นให้ผุกร่อนช้าลงกว่าเดิม ใช้เวลาเพียง 2-3 นาทีเท่านั้น
สำหรับปัญหาการเกิดกลิ่นอับที่ออกมาจากช่องปรับอากาศ สามารถแก้ไขได้โดยจอดรถในที่โล่งแจ้ง แดดส่อง จากนั้น เปิดประตูรถให้หมดทุกบาน จอดรถตากแดดทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง หรือจนกว่ากลิ่นอับจะจางหายไป
แต่ถ้ากลิ่นอับยังคงรุนแรงเหมือนเดิม ควรนำรถเข้าเช็กที่ศูนย์บริการใกล้บ้าน
http://auto.sanook.com/13413/
ไฟล์แนบ: คุณไม่สามารถดูไฟล์แนบได้ จำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นสมาชิกก็ สมัครสมาชิก ก่อนนะครับ แล้วเรามาร่วมแบ่งปันความสุขกัน
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

อยากขับรถเที่ยวให้สนุก! ต้องเช็ก 6 จุด ก่อนออกเดินทาง
ขนส่งทางบกเปิดโครงการรณรงค์ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2559 มอบความสุข ความสะดวก ความปลอดภัยให้คนไทยทั้งประเทศ ภายใต้แนวคิด "Drive Safe Be Safe อุบัติเหตุลดได้ แค่ไม่ขับเร็ว" คุมเข้ม!!!! ตรวจสอบสภาพรถและพนักงานขับรถ ไร้สารเสพติดและแอลกอฮอล์ต้องเป็นศูนย์ 100% พร้อมเชิญชวนใช้บริการตรวจความพร้อมของรถ "กรมการขนส่งทางบก Everyday for Everyone ทุกๆ วัน เพื่อทุกคน" ตามถนนสายหลักและสายรองทั่วประเทศ
พร้อมกันนี้ ยังได้เเนะนำการตรวจสอบความปลอดภัยรถยนต์เบื้องต้น ในจุดสำคัญ ดังนี้
จุดที่ 1 เบรก : เบรกแล้วมีเสียง ควรเปลี่ยนผ้าเบรกทันที
จุดที่ 2 ไฟ : ควรตรวจทั้งไฟเบรกและไฟส่องสว่าง เมื่อพบความผิดปกติควรเปลี่ยนทันที เพื่อความปลอดภัย
จุดที่ 3 แบตเตอรี่ : ควรเติมน้ำกลั่นแบตเตอรี่ไว้เสมอ
จุดที่ 4 ยาง : สภาพของยางและดอกยาง : ดอกยางควรมีความลึกไม่ต่ำกว่า 2 มิลลิเมตร และกว้างไม่เกิน 6 มิลลิเมตร
จุดที่ 5 พวงมาลัย : ควรตรวจเกี่ยวกับการบังคับเลี้ยว ระบบศูนย์ควบคุมทิศทาง เพื่อการเลี้ยวและการทรงตัวของรถ
จุดที่ 6 น้ำมัน : ส่วนใหญ่เราจะดูแค่น้ำมันเครื่อง แต่เมื่อเดินทางไกล ควรดูทั้งน้ำมันเกียร์ น้ำมันพวงมาลัย น้ำมันคลัตช์ และน้ำมันเฟืองท้ายด้วย เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้มากขึ้น
http://auto.sanook.com/44989/
ไฟล์แนบ: คุณไม่สามารถดูไฟล์แนบได้ จำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นสมาชิกก็ สมัครสมาชิก ก่อนนะครับ แล้วเรามาร่วมแบ่งปันความสุขกัน
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

5 ของแถมสำคัญที่ต้องดูให้ดีก่อนเซ็นใบจองรถ
การซื้อรถสักหนึ่งคันสมัยนี้ สิ่งหนึ่งที่แทบจะขาดไม่ได้ก็คือ 'ของแถม' ที่อาจช่วยทุ่นเงินในกระเป๋าสตางค์ของคุณได้ยามออกรถใหม่
ไม่ว่าจะคุณซื้อรถยี่ห้ออะไร รุ่นอะไร ของแถมที่เซลส์ให้กับลูกค้ามักไม่ต่างกัน (ถ้าเป็นรถยุโรปก็อีกเรื่องนึง) แต่สิ่งสำคัญคือ คุณควรได้รับเฉพาะของที่มีคุณภาพ เพราะปกติดีลเลอร์จะกันวงเงินก้อนหนึ่ง เพื่อใช้สำหรับคนขายในการจัดของแถมให้ลูกค้าอยู่แล้ว
ดังนั้นเพื่อไม่ได้เป็นการถูกเอาเปรียบจากวงเงินก้อนนี้ จึงมาแนะนำ 5 ของแถมสำคัญเมื่อซื้อรถยนต์ ที่ควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนเซ็นใบจองครับ
1.ประกันภัยรถยนต์
คุณควรตรวจเช็คชื่อเสียงของบริษัทประกันภัยแต่จะรายให้ดีเสียก่อน จะได้ไม่มีปัญหาหากจำเป็นต้องเคลม เช็คให้ดีว่าบริษัทประกันภัยที่จะได้รับนั้น สามารถเข้าซ่อมที่ศูนย์ฯได้หรือไม่ หรือต้องใช้อู่นอกเท่านั้น และประกันครอบคลุมอู่ใกล้บ้านคุณมากน้อยแค่ไหน
2.ฟิล์มกรองแสง
เช็คให้ดีว่าไม่ได้รับฟิล์มโนเนม ราคาถูก ที่คุณภาพอาจสู้ยี่ห้อแพงๆไม่ได้ นอกจากนั้นยังควรดูเกรดและสีของฟิล์มให้ได้อย่างที่คุณต้องการ ความเข้มมากน้อยแค่ไหน สามารถใช้กับบัตรประเภทอีซี่พาสหรืออุปกรณ์นำทางได้หรือไม่ เป็นต้น
3.ชุดแต่งรอบคัน
สำหรับใครที่ชอบแต่งรถ ก็มักขอชุดแต่งรอบคันเป็นของแถม อาจจะต้องเพิ่มเงินบ้างก็ว่ากันไป ถ้าได้ของแท้ที่ผลิตจากโรงงานก็คงไม่มีปัญหา แต่หากเป็นชุดแต่งที่ผลิตจากร้านข้างนอก แล้วจึงมาประกอบที่ศูนย์อีกทีนั้น ควรเช็คคุณภาพของชิ้นงานแต่ละชิ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็นชนิดของวัสดุ พื้นผิว สี ว่ามีคุณภาพมากน้อยขนาดไหน
4.เบาะหุ้มหนัง
รถยนต์หลายรุ่นในปัจจุบันยังคงเป็นเบาะผ้า โดยเฉพาะรุ่นล่างๆ ซึ่งหลายคนก็อยากเปลี่ยนเป็นเบาะหุ้มหนัง ถ้าหากได้รับเป็นของแถม หรือต้องเพิ่มเงินบ้างนิดหน่อย ก็ควรดูวัสดุหนังที่ใช้หุ้ม ลวดลาย การตัดเย็บ อาจขอเซลส์ดูจากรถคันอื่นๆที่ติดตั้งไปแล้วก็ได้ ถ้าถูกใจก็ค่อยตกลงกันอีกที
5.ของแถมจิปาถะอื่นๆ
ของแถมหลายชิ้นมักเป็นของที่มีราคาไม่แพง หาซื้อได้ตามร้านของแต่งทั่วไป แต่ถูกยัดใส่ใบจองเพื่อจะได้ดูเหมือนแถมเยอะ เช่น กันสาดประตู, สครัฟเพลท, ม่านบังแดด, พวงกุญแจ, ยางกันกระแทก, ที่ครอบมือจับประตู ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นสิ่งไม่จำเป็น อาจใช้วิธีไม่รับของแถมเหล่านี้ เพื่อต่อรองให้ได้สิ่งอื่นที่ดีกว่านี้ก็ได้
http://auto.sanook.com/40791/
ไฟล์แนบ: คุณไม่สามารถดูไฟล์แนบได้ จำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นสมาชิกก็ สมัครสมาชิก ก่อนนะครับ แล้วเรามาร่วมแบ่งปันความสุขกัน
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

รถมือสองปลุกตลาดเช่าซื้อ

รถป้ายแดงขยับราคาหนุนคนหันซื้อมือสองเพิ่ม เช่าซื้อเริ่มให้กู้ โดยเฉพาะปิกอัพ

นายอนุชาติ ดีประเสริฐ ประธานสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการรถยนต์มือ 2 หรือเต็นท์รถเริ่มเข้าประมูลรถเก่าเก็บไว้ในสต๊อกมากขึ้นหลังจากที่ค่ายรถยนต์ปรับขึ้นราคาในช่วงต้นปีที่ผ่านมาตามโครงสร้างภาษีใหม่ ทำให้ราคารถเก่าเพิ่มขึ้น 23-28%จากที่ก่อนหน้านี้ราคาลดลงประมาณ 30-35% ผลจากโครงการรถคันแรก โดยรถยนต์เก่าที่ราคาดียังเป็นรถปิกอัพที่ใช้งานเชิงพาณิชย์ รวมทั้งรถยนต์เก่าขนาด 2,000 ซีซีขึ้นไป ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เพราะรถยนต์ใหม่มีราคาแพงมากเป็นล้านขึ้นไป แต่รถยนต์มือ 2 จะอยู่ที่ 5-6 แสนบาท

สำหรับอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อรถยนต์เก่าในตลาดเฉลี่ยอยู่ที่ 3.75% ซึ่งไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นมานานแล้ว ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือเอ็นพีแอลทรงตัวที่ 3% กว่าจากที่ก่อนหน้านี้ปรับตัวสูงขึ้นจากภาระหนี้ครัวเรือนที่มากขึ้น ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ลดลงแต่สถาบันการเงินในแต่ละแห่งได้เข้าไปช่วยเหลือด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ หรือยึดระยะเวลาชำระหนี้ให้ลูกหนี้เป็นรายกรณี

"การวางเงินดาวน์รถยนต์ใหม่ในปัจจุบันอยู่ที่ 20-25% โดยดูความเสี่ยงของลูกค้าเป็นหลัก และเชื่อว่าการซื้อรถยนต์ของลูกค้าช่วงนี้เป็นความต้องการที่แท้จริงไม่ใช่เป็นการจองและทิ้งรถเหมือนที่ผ่านมาโดยผู้มาดูรถยนต์ในโชว์รูมจะซื้อจริงประมาณ 95% ส่วนยอดปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้น 5-7% เพราะลูกหนี้มีภาระหนี้มากเกินไป” นายอนุชาติ กล่าว

นายไพรัตน์ สกุลศรีประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พ.สามพราน กรุ๊ป ผู้ประกอบการจำหน่ายรถยนต์มือ 2 กล่าวว่า สถาบันการเงินและบริษัทไฟแนนซ์ได้กลับมาพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ ให้ลูกค้าที่เคยมีประวัติการชำระหนี้ที่ไม่ดีมากขึ้น จากเดิมที่มีการคัดกรองลูกค้าและเข้มงวดการให้สินเชื่อ เนื่องจากราคารถยต์มือ2 เริ่มกลับมาดีขึ้น และการยึดรถยนต์มาขายไม่ได้ขาดทุนมากเหมือนในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการหันมาทำตลาดรถมือ 2 กัน

"ราคารถยนต์ที่ทรงตัวไม่ได้ผันผวน ทำให้การกำหนดราคามีทิศทางดีขึ้นและการปล่อยสินเชื่อเป็นไปตามกลไกตลาด แตกต่างจากช่วงโครงการรถยนต์คันแรกที่เสียหายมากเพราะยึดรถมาแล้วขายขาดทุน" นายไพรัตน์ กล่าว

สำหรับบริษัทยังไม่มีการปรับราคารถยนต์ เพราะต้องการรักษาส่วนต่างราคาระหว่างรถใหม่และรถเก่าเพราะหากปรับราคารถเก่าเพิ่มขึ้นและผู้ซื้อเห็นว่าราคาไม่ได้ห่างกันมากนักอาจจะหันไปซื้อรถใหม่แทนอย่างไรก็ตาม ขณะนี้สถาบันการเงินได้คัดเลือกตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เข้าร่วมโครงการปล่อยสินเชื่อรถสีขาวโดยรถที่ร่วมโครงการต้องไม่เคยมีอุบัติเหตุมาก่อนและรับประกันหลังการขาย ซึ่งบริษัทได้เข้าร่วมโครงการนี้กับสถาบันการเงิน 2 แห่ง.... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/auto/news/412267
ไฟล์แนบ: คุณไม่สามารถดูไฟล์แนบได้ จำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นสมาชิกก็ สมัครสมาชิก ก่อนนะครับ แล้วเรามาร่วมแบ่งปันความสุขกัน
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

รู้ยัง? ...เราควรเปลี่ยนผ้าเบรกเมื่อไหร่

คอลัมน์ คาร์ทิปส์/มติชนรายวัน 16 มกราคม 2559

     เป็นคำถามที่หลายคนสงสัย แต่ไม่ค่อยลงมือกระทำ ทั้งที่ระบบเบรกคือส่วนสำคัญของการขับเคลื่อนทุกรูปแบบของผู้ใช้รถ การทำงานที่สมบูรณ์แบบของระบบเบรกที่สามารถตอบสนองอย่างรวดเร็วและแม่นยำต่อความต้องการของผู้ขับขี่ ไม่ว่าชะลอหรือหยุดรถกะทันหัน โดยเฉพาะกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง เพื่อป้องกันหรือลดอุบัติเหตุจากการเฉี่ยวชนที่ก่อให้เกิดอันตรายให้เหลือน้อยที่สุด ยานยนต์ "มติชน" ขอนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับระบบเบรกในรถยนต์

ระบบเบรกรถยนต์ในปัจจุบันเป็นแบบไฮโดรลิก แบ่งออกเป็น 2 แบบคือ

     1.ดรัมเบรก (Drum Brake)

     ดรัมเบรกจะติดตั้งแน่นกับลูกล้อ เบรกจะทำงานเมื่อมีการถ่างก้ามเบรกให้เสียดสีกับตัวเบรก ดรัมเบรกจะทำให้ล้อหยุด ดรัมเบรกใช้มากในรถบรรทุก ทั้งขนาดใหญ่และเล็ก รวมทั้งรถยนต์ส่วนบุคคลบางรุ่น รถบางรุ่นอาจใช้ระบบนี้เฉพาะล้อหลัง

     ข้อดี มีความสามารถในการหยุดรถได้เร็ว เพราะก้ามเบรกและดรัมเบรกถูกยึดติดกับดุมล้อ เมื่อเหยียบเบรก คนขับใช้แรงกดดันเบรกน้อย รถบางรุ่นไม่จำเป็นต้องใช้หม้อลมเบรกช่วยในการเบรก

     ข้อเสีย ความร้อนเกิดจากการเสียดสี ระหว่างผ้าเบรกในดรัมเบรกนั้นไม่สามารถถ่ายเทความร้อนได้ดี บางครั้งทำให้ผ้าเบรกมีอุณหภูมิสูงมาก มีผลทำให้ประสิทธิภาพการเบรกลดลง



     2.ดิสก์เบรก (Disc Brake)

     เป็นระบบเบรกระบบใหม่นิยมกันมาก เบรกจะทำงานโดยดันผ้าเบรกให้สัมผัสกับจานเบรกเพื่อให้รถหยุด รถยนต์บางรุ่นใช้ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ บางรุ่นใช้เฉพาะล้อหน้า

     ข้อดี ลดอาการเฟด (เบรกหาย) เนื่องจากอากาศถ่ายเทความร้อนได้ดีกว่าดรัมเบรก นอกจากนั้นเมื่อเบรกเปียกน้ำผ้าเบรกจะสลัดน้ำออกจากระบบได้ดี ในขณะที่ดรัมเบรกน้ำจะขังอยู่ภายใน และใช้เวลาถ่ายเทค่อนข้างช้า

     ข้อเสีย ไม่มีระบบเซอร์โว แอ๊กชั่น (Servo action) หรือมัลติพลายอิ้ง แอ๊กชั่น (multiplying action) เหมือนกับดรัมเบรก ผู้ขับจึงต้องออกแรงมากกว่า จึงต้องใช้ระบบเพิ่มกำลัง เพื่อเป็นการผ่อนแรงขณะเหยียบเบรก ทำให้ระบบดิสก์เบรกมีราคาค่อนข้างแพงกว่าดรัมเบรก



     เราควรเปลี่ยนผ้าเบรกเมื่อไหร่?

     - เปลี่ยนผ้าเบรกเมื่อผ้าเบรกมีความหนาน้อยกว่า 4 มม. และก้ามเบรกมีผ้าเบรกน้อยกว่า 1 มม. หรือผ้าเบรกเหลือน้อยกว่า 30%

     - เปลี่ยนผ้าเบรกเมื่อมีคราบน้ำมันหรือจาระบีมากผิดปกติ

     - เปลี่ยนผ้าเบรกทันทีที่เห็นรอยร้าวบนดิสก์เบรกหรือก้ามเบรก

     - เปลี่ยนผ้าเบรกทุกๆ 25,000 กม. ขึ้นอยู่กับลักษณะการขับและการใช้เบรกหากบรรทุกของหนักและขับรถด้วยความเร็วสูง อายุผ้าเบรกอาจจะสั้นกว่า หากเป็นผ้าเบรกที่มีส่วนผสมของโลหะสูง อายุของผ้าเบรกจะยาวกว่าผ้า

     เบรกเกรดที่มีส่วนผสมของโลหะต่ำ หรือผ้าเบรกเกรดโรงงานผลิตรถยนต์ (OEM) หากเบรกแล้วมีเสียงคล้ายเหล็กครูด เสียดสีกันอาจเกิดจากคลิปผ้าเบรกครูดกับจานเบรก เป็นสัญญาณเตือนว่าควรเปลี่ยนผ้าเบรกได้ สิ่งผิดปกตินี้อาจจะไม่ได้เกิดจากผ้าเบรกหมดเสมอไป จึงควรให้ช่างตรวจดูความผิดปกติอื่นๆ
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

ค่ายรถผวาศก.โลกป่วน เร่งปรับตัวลดความเสี่ยง
เศรษฐกิจโลกและในประเทศไทยที่ชะลอตัวมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และต่อเนื่องมาถึงในปีนี้แค่เริ่มต้นปีมาเพียงไม่กี่วันทั่วโลกก็ปั่นป่วนจากสถานการณ์ตลาดหุ้นและการลดค่าเงินหยวนของจีน
เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเพียงหนึ่งในหลายเหตุการณ์ที่สะท้อนถึงความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และจะส่งผลกระทบในวงกว้างเนื่องด้วยจีนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและในประเทศไทยก็คืออุตสาหกรรมยานยนต์ เนื่องด้วยประเทศไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกเกิดอาการผันผวนและมีแนวโน้มจะชะลอตัวลงไปอีกจากจีนที่กำลังประสบปัญหา แน่นอนว่าฐานการผลิตในประเทศไทยย่อมได้รับผลกระทบตามมาอย่างแน่นอนขณะที่เศรษฐกิจในประเทศไทยในปีนี้ แม้รัฐบาลได้ออกมาประกาศว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศปีนี้จะขยายตัวดีขึ้น แต่ก็ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้เนื่องจากกำลังซื้อในระดับกลาง-ล่างก็ยังไม่ฟื้นตัว ดังนั้นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต่างต้องมีการตั้งรับผลกระทบที่เกิดขึ้นในครั้งนี้
เนื่องจากกำลังซื้อในระดับกลาง-ล่างก็ยังไม่ฟื้นตัว ดังนั้นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต่างต้องมีการตั้งรับผลกระทบที่เกิดขึ้นในครั้งนี้.... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/auto/news/409594
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

หยุดด่วน! 5 พฤติกรรมอันตรายที่ทำร้ายรถคุณโดยไม่รู้ตัว
รถยนต์ 1 คัน เกิดจากการประกอบชิ้นส่วนมากมายเข้าไว้ด้วยกันจากโรงงานผู้ผลิต ซึ่งต่างก็ต้องการการดูแลรักษาด้วยกันทุกชิ้น เพื่อให้รถสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ไร้ปัญหาจุกจิกกวนใจ
แต่ก็ยังมีผู้ขับขี่อีกหลายคนที่มีพฤติกรรมทำร้ายรถ (โดยไม่ตั้งใจ) ที่แม้จะไม่เห็นผลในระยะสั้น แต่อาจบั่นทอนอายุการใช้งานในระยะยาวอย่างแน่นอน จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันครับ
1.ขับผ่านหลังเต่าโดยไม่ชะลอ
Speed Hump หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า 'หลังเต่า' เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่ลดความเร็ว เนื่องจากเป็นที่ชุมชน หรือในที่ที่จำเป็นต้องขับอย่างระมัดระวัง แต่ก็มีผู้ขับขี่หลายคนขับผ่านหลังเต่าโดยไม่ชะลอความเร็วเท่าที่ควร (หรืออาจไม่แตะเบรกเลยด้วยซ้ำ) ซึ่งมีผลต่อระบบช่วงล่างโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นช็อคอัพ, สปริง, ลูกหมาก, ปีกนก, แร็ค, ยอยพวงมาลัย ฯลฯ ที่จะต้องรับแรงกระแทกมากกว่าที่ควรจะเป็น
ทั้งนี้ ยังรวมไปถึงขณะขับผ่านทางขรุขระ, ฝาท่อ, คอสะพาน ฯลฯ หากใช้ความเร็วเหมาะสมเคลื่อนผ่านสิ่งเหล่านี้ ก็จะช่วยยืดระยะเวลาการเปลี่ยนชิ้นส่วนช่วงล่างได้เป็นอย่างดี
2.สตาร์ทรถไม่ปิดแอร์
แม้ว่ารถยนต์ในปัจจุบันจะตัดการทำงานของระบบไฟในรถ รวมถึงพัดลมแอร์ลงชั่วคราวขณะที่มีการสตาร์ทเครื่องยนต์ แต่การเปิดแอร์ทิ้งเอาไว้ จะทำให้คอมเพรสเซอร์แอร์เริ่มทำงานทันทีหลังจากเครื่องยนต์สตาร์ทติด ซึ่งเป็นช่วงที่รอบเครื่องยนต์พุ่งขึ้นสูง เนื่องจากต้องเพิ่มแรงดันน้ำมันไปหล่อเลี้ยงชิ้นส่วนต่างๆ ทำให้มีการกระชากของคอมเพรสเซอร์แอร์ ส่งผลให้มีอายุการใช้งานสั้นลง
3.จอดรถบนทางลาดชันเป็นประจำ
คนใช้รถเกียร์ออโต้จะทราบกันดีอยู่แล้วว่า การจอดรถบนทางลาดชันด้วยเกียร์ P จะทำให้รถไม่ไหล แต่รู้ไหมว่าชิ้นส่วนที่ต้องรับภาระน้ำหนักรถก็คือสลักล็อคเกียร์ชิ้นเล็กๆเท่านั้น จะสังเกตได้ว่าหากจอดรถบนทางชัน เมื่อดึงคันเกียร์จากตำแหน่ง P มาเป็นเกียร์ R จะมีเสียงดัง กึก ออกมาจากชุดเกียร์ ซึ่งเกิดจากการขัดกันของสลักอย่างรุนแรงนั่นเอง
ทางที่ดีหากจำเป็นต้องจอดรถบนทางลาดชัน ให้จอดรถจนนิ่งสนิทเรียบร้อย แล้วจึงดึงเบรกมือขึ้นจนสุดก่อนเท้าจะปล่อยแป้นเบรก จากนั้นค่อยๆปล่อยเบรกเพื่อให้แน่ใจว่ารถไม่ไหลแล้ว จึงค่อยเหยียบเบรกอีกครั้งแล้วใส่เกียร์ P เป็นอันจบขั้นตอนบำรุงรักษาเกียร์แบบง่ายๆ ที่ควรทำให้เป็นนิสัย
4.เร่งเครื่องรุนแรงขณะเครื่องยนต์เย็น
โดยปกติแล้วหากเครื่องยนต์ดับลง น้ำมันเครื่องจะไหลลงไปรวมกันในอ่างน้ำมันเครื่องด้านล่าง ดังนั้น เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ตอนเช้าๆ รอบเครื่องยนต์จะพุ่งขึ้นสูงกว่าปกติ เพื่อให้น้ำมันเครื่องขึ้นไปหล่อลื่นตามชิ้นส่วนต่างๆในห้องเครื่องได้อย่างทั่วถึง
ดังนั้น หากเพิ่งสตาร์ทรถใหม่ๆ จึงไม่ควรเร่งเครื่องอย่างรุนแรงในทันที เพราะจะทำให้ชิ้นส่วนเครื่องยนต์สึกหรอเร็วกว่าปกติ
5.คิกดาวน์บ่อยพังทั้งเครื่องทั้งเกียร์
การ 'คิกดาวน์' ก็คือการเพิ่มความเร็วด้วยการกดคันเร่งจนมีการทดอัตราเกียร์ต่ำลง (เช่น เกียร์ 4 ไปเกียร์ 3) ซึ่งจะช่วยเรียกพละกำลังของรถให้เพิ่มมากขึ้น ใช้สำหรับการเร่งแซง หรือจังหวะที่ต้องเพิ่มความเร็วแบบทันทีทันใด แต่บรรดาขาซิ่งใจร้อนที่ชอบคิกดาวน์บ่อยๆ รู้หรือไม่ว่านั่นทำให้เกียร์อัตโนมัติกลับบ้านเก่าเร็วกว่าปกติ
เนื่องจากการคิกดาวน์จะทำให้มีการสลับเฟืองเกียร์ด้วยแรงบิดที่สูงกว่าปกติ ก่อให้เกิดอาการเกียร์กระชาก ซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดความเสียหายต่อชุดเกียร์ได้มากขึ้น แม้แต่เกียร์ระบบ CVT ที่ใช้สายพานเป็นชุดขับเคลื่อนก็เช่นกัน ดังนั้น หากไม่จำเป็นก็ไม่ต้องคิดดาวน์บ่อยๆ แถมยังช่วยรักษาเครื่องยนต์และประหยัดน้ำมันขึ้นด้วย
รู้แบบนี้แล้วเราหันกลับมาดูแลรถที่เรารักกันเถอะครับ
http://auto.sanook.com/48323/
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

เทคนิคพ่วงสายแบตอย่างไรให้สตาร์ทติดชัวร์!

ปัญหาแบตเตอรี่หมดบางครั้งไม่ใช่เพราะแบตเตอรี่เสื่อมสภาพแล้วเท่านั้น แต่อาจเป็นเพราะเผลอลืมเปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าทิ้งเอาไว้ นานๆเข้าก็ทำให้แบตเตอรี่หมดได้เหมือนกัน ยิ่งหากคุณผู้อ่านขับรถเดินทางไกลช่วงปีใหม่ 2559 นี้แล้วล่ะก็ ต้องจำเทคนิคพ่วงแบตเหล่านี้เอาไว้ให้ดีครับ

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าแบตหมด?

     อาการแบตเตอรี่รถหมดนั้น สังเกตได้จาก 1.ระบบเซ็นทรัลล็อกไม่ทำงาน หรือทำงานช้ากว่าปกติ 2.เมื่อบิดกุญแจ (หรือกดปุ่มสตาร์ท) ไปที่ตำแหน่ง ON พบว่าไฟหน้าปัดหรี่กว่าปกติหรือไม่ติดเลย 3.เมื่อบิดสตาร์ทพบว่ามีเสียงดังแช๊ะถี่ๆออกมาจากห้องเครื่อง ไม่เหมือนกับเสียงสตาร์ทปกติ หรืออาจไม่มีเสียงใดๆเลย

     หากคุณเจออาการเหล่านี้ ฟันธงได้เลยว่า รถคุณจำเป็นต้องพ่วงแบตฯแน่นอนครับ

วิธีการพ่วงแบตเตอรี่มีดังนี้

     1.ก่อนอื่นเราจะต้องมีสายพ่วงแบตเสียก่อน หากซื้อเป็นอุปกรณ์ติดรถเอาไว้ก็ดี แม้ไม่ได้ใช้งานเอง แต่ก็อาจเอาไว้ช่วยเหลือเพื่อนร่วมถนนอื่นๆได้ยามจำเป็น และแน่นอนว่าจะต้องมีรถที่ใช้งานได้อยู่ด้วย เพื่อพ่วงแบตฯให้กับรถคันที่สตาร์ทไม่ติดนั่นเอง

     2.นำสายแดงหนีบด้านหนึ่งเข้ากับขั้วบวกของแบตเตอรี่คันที่แบตหมด แล้วจึงหนีบเข้ากับขั้วบวกของรถคันที่แบตดี

     3.นำสายดำหนีบด้านหนึ่งเข้ากับขั้วลบของแบตเตอรี่คันที่แบตดี แล้วจึงหนีบเข้ากับขั้วลบของคันที่แบตหมด (หรือหนีบกับหัวน็อตที่อยู่ในห้องเครื่องก็ได้)

     4.ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าของรถทั้งสองคันให้หมด ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้า, ระบบแอร์, เครื่องเสียง ฯลฯ

     5.สตาร์ทเครื่องยนต์รถคันที่แบตดีทิ้งไว้ อาจเร่งเครื่องเล็กน้อยหากพ่วงกับรถที่ใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่กว่า เพราะกระแสไฟมีการกระชากรุนแรง

     6.สตาร์ทเครื่องยนต์รถคันที่แบตหมดตามปกติ เมื่อติดแล้วให้เร่งเครื่องประมาณ 2,000-3,000 รอบต่อนาที เพื่อปั่นกระแสไฟให้มากขึ้น ทำเช่นนี้ประมาณ 1 นาที แล้วจึงถอดสายแบต

วิธีถอดสายพ่วงแบตที่ถูกต้อง

     ควรถอดสายพ่วงขั้วลบ (สีดำ) ของทั้งสองคันออกเสียก่อน แล้วจึงถอดสายขั้วบวก (สีแดง)
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

กลับไปยังรายบอร์ด
Image Hosted by CompGamer Image Host Image Hosted by CompGamer Image Host