"

Image Hosted by CompGamer Image Host      Image Hosted by CompGamer Image Host
กลับไปยังรายบอร์ด โพสต์ใหม่
การตรวจสอบร่องรอย
การรั่วซึมต่าง ๆ เช่น อ่างน้ำมันเกียร์ อ่างน้ำมันเครื่องซีลท้ายหรือหน้าเครื่อง ทำไมต้องตรวจสอบนั่นก็เพราะว่า การรั่วซึมที่เกิดขึ้นจะทำให้ของเหลวที่อยู่ภายในซึมออกมา เช่น น้ำมันเกียร์ น้ำมันเครื่อง เป็นต้น
ทางออกของน้ำมันเหล่านั้นมันก็กลายเป็นทางเข้าของน้ำและความชื้นได้เป็นอย่างดี และน้ำนี่แหละจะเป็นตัวการทำให้เกียร์ โดยเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ เกิดความเสียหาย โดยเริ่มจากการทำงานของเกียร์ที่ผิดปกติ
ในส่วนเครื่องยนต์ น้ำจะทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพไม่สามารถปกป้องเครื่องยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อพบร่องรอยการรั่วซึมเกิดขึ้นต้องทำการซ่อมแซมก่อนที่หน้าฝนจะมาถึงโดยไม่ต้องรอ การซ่อมเกียร์หรือยกเครื่องออกมาโอเวอร์ฮอลนั้นค่าใช้จ่ายจะแพงมากกว่าอะไหล่และค่าแรงในการเปลี่ยนซีลหลายเท่าตัวเลยทีเดียว
น้ำมันเบรก
ถ้าก่อนหน้าร้อนคุณเคยเปลี่ยนไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าห่วง น้ำมันเบรกนั้นส่วนใหญ่คู่มือประจำรถมักระบุว่าควรเปลี่ยนทุก ๆ 40,000 กิโลเมตรหรือทุก ๆ 2 ปี แต่สภาพอากาศร้อนขึ้นอย่างบ้านเราควรจะเปลี่ยนเร็วขึ้น
ลองสำรวจดูว่าถ้ายังไม่เคยเปลี่ยนน้ำมันเบรกในช่วงเกือบ ๆ 2 ปีที่ผ่านมา ถือโอกาสเปลี่ยนซะเลย ตอนนี้จะเป็นการดี เพราะความขึ้นในอากาศจะยิ่งทำให้น้ำมันเบรกที่ใกล้เสื่อม เสื่อมเร็วยิ่งขึ้น และอาจจะทำให้น้ำมันเบรกเดือดจากกรณีใช้เบรกหนัก ๆ เนื่องจากความชื้นที่ปะปนอยู่ในระบบเบรกนั่นเอง

ยาง
ความเปียกลื่นบนท้องถนนนั้นจะทำให้ประสิทธิภาพการทรงตัวและการยืดเกาะถนนลดลง ประการแรกที่ต้องทำคือตรวจสอบการสึกหรอของหน้ายางว่าอยู่ในระดับใดแล้ว โดยที่หน้ายางจะมีระดับบอกการสึกหรอต่ำสุดของยางอยู่
กรณีดอกยางสึกมากจนใกล้ถึงระดับดังกล่าว คุณจะต้องขับขี่ด้วยความระมัดระวังใช้ความเร็วต่ำลง และหลีกเลี่ยงการขับขี่ลุยแอ่งน้ำ เนื่องจากประสิทธิภาพในการรีดน้ำของหน้ายางลดลง ทำให้เกิดอาการเหินน้ำได้ง่าย
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าดอกยางใกล้หมด ถ้าคุณไม่รู้ว่าขีดบอกระดับต่ำสุดของดอกยางอยู่ตรงไหน สามารถทดสอบได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้ไม้บรรทัดเสียบลงไปในร่องของดอกยาง ถ้าร่องดอกยางมีความลึกน้อยกว่า 2 มิลลิเมตรถือว่าอยู่ในระดับอันตราย
ในฤดูฝนนั้นร่องลึกของดอกยางมีความสำคัญมากในการรีดน้ำ ถ้ายางมีสภาพไม่ค่อยดีก็ควรเปลี่ยนใหม่ทันที ยางที่หมดดอกจะทำให้การควบคุมพวงมาลัย การทรงตัว และประสิทธิภาพในการเบรกลดลงอยู่ในขั้นวิกฤติเลยทีเดียว
แม้ว่าสภาพคล่องทางการเงินของคุณจะไม่สู้ดีนัก อย่าคิดว่าการทนใช้ไปก่อนจะเป็นทางออกที่ดี การมีชีวิตอยู่เพื่อใช้หนี้ค่ายางใหม่สักชุดย่อมดีกว่า
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

ตรวจสภาพใต้ท้องรถ
เป็นสิ่งสำคัญมากทีเดียว เพราะการปล่อยปละละเลยไม่ตรวจสอบอาจจะทำให้ความเสียหายเกิดมากกว่าที่คุณคิด โดยเฉพาะพื้นที่ซึ่งน้ำท่วมเป็นประจำ การเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้สำคัญอย่างยิ่ง อะไรบ้างที่ต้องทำการตรวจสอบและตรวจเช็ก
อย่างแรกคือบรรดายางหุ้มแร็คและยางหุ้มเพลา เพราะการปริแตกหรือฉีกขาดเพียงเล็กน้อยจะส่งผลเสียหายตามมาเป็นอย่างมาก เพราะน้ำที่ท่วมนองนั้นมักจะมีโคลนทรายและสิ่งสกปรกมากมายปะปนอยู่ น้ำจะเข้าไปชะล้างจาระบีที่อยู่ภายในออกมา และทรายหรือดินที่อยู่ในน้ำก็จะเข้าไปแทนที่ปะปนอยู่กับจาระบีไม่นานก็จะเกิดความหายนะขึ้นกับชิ้นส่วนเหล่านั้น เนื่องจากเป็นชิ้นส่วนที่ต้องเคลื่อนไหว และมีการเสียดสีกันอยู่ตลอดเวลา ทรายและดินเม็ดเล็ก ๆ ที่เข้าไปแทรกอยู่ระหว่างหน้าสัมผัสจะทำให้เกิดการสึกหรออย่างรุนแรงและรวดเร็ว
เหมือนกับการที่คุณเอามือถูกไปมาบนพื้นถนนนั่นแหละ ทรายที่อยู่บนพื้นผิว จะทำให้มือถลอกเอาง่าย ๆ ไม่นานแร็คและเพลาขับก็จะเกิดเสียงดัง การซ่อมแซม จะเป็นเงินก้อนโตมากกว่าการเปลี่ยนยางหุ้มเพลาหรือยางหุ้มแร็คหลายเท่าตัว
การตรวจสอบร่องรอย
การรั่วซึมต่าง ๆ เช่น อ่างน้ำมันเกียร์ อ่างน้ำมันเครื่องซีลท้ายหรือหน้าเครื่อง ทำไมต้องตรวจสอบนั่นก็เพราะว่า การรั่วซึมที่เกิดขึ้นจะทำให้ของเหลวที่อยู่ภายในซึมออกมา เช่น น้ำมันเกียร์ น้ำมันเครื่อง เป็นต้น
ทางออกของน้ำมันเหล่านั้นมันก็กลายเป็นทางเข้าของน้ำและความชื้นได้เป็นอย่างดี และน้ำนี่แหละจะเป็นตัวการทำให้เกียร์ โดยเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ เกิดความเสียหาย โดยเริ่มจากการทำงานของเกียร์ที่ผิดปกติ
ในส่วนเครื่องยนต์ น้ำจะทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพไม่สามารถปกป้องเครื่องยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อพบร่องรอยการรั่วซึมเกิดขึ้นต้องทำการซ่อมแซมก่อนที่หน้าฝนจะมาถึงโดยไม่ต้องรอ การซ่อมเกียร์หรือยกเครื่องออกมาโอเวอร์ฮอลนั้นค่าใช้จ่ายจะแพงมากกว่าอะไหล่และค่าแรงในการเปลี่ยนซีลหลายเท่าตัวเลยทีเดียว
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

ขับรถหน้าฝน เตรียมตัวอย่างไรให้ปลอดภัยหายห่วง
หมดร้อนแล้วอย่าเพิ่งสบายใจ เพราะหน้าฝนมีหลายอย่างที่ต้องกังวล ร้อนจัดอยู่ดี ๆ ในก็ตกไม่ลืมหูลืมตา การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศแบบกะทันหันตลอดเวลา ลักษณะนี้มีผลต่อรถยนต์อย่างที่คุณคาดไม่ถึง แม้ว่าจอดรถไว้เฉย ๆ ไม่ได้สตาร์ทหรือขับไปไหนก็ตามที มันก็ส่งผลให้ของเหลวและหลาย ๆ ส่วนในรถยนต์เกิดเสื่อมสภาพได้เช่นกัน ดังนั้นก่อนที่หน้าฝนจะมาเยือนอย่างเป็นทางการ เห็นควรว่าเราต้องเตรียมความพร้อมให้กับรถยนต์คันโปรดเสียก่อน จะได้ไม่ต้องมานั่งช้ำใจกันภายหลัง
ช่วงก่อนหน้าร้อน เจ้าของรถหลาย ๆ ท่านได้เตรียมความพร้อมรับลมร้อนกันมาบ้างแล้ว การเตรียมพร้อมในหน้าร้อนนั้นคนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าในฤดูไหน ๆ คิดว่าความร้อนของอากาศจะทำให้น้ำมันเครื่องน้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก ฯลฯ เกิดการเสื่อมสภาพอันเนื่องมาจากความร้อน ก็ถูกต้องเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เพราะอีกครึ่งหนึ่งความชื้นภายในอากาศก็สามารถส่งผลให้ของเหลวต่าง ๆ เหล่านั้นเสื่อมสภาพได้ไม่แพ้ความร้อนเลยทีเดียว จึงอยากจะบอกว่า การเตรียมพร้อมในฤดูฝนก็เป็นสิ่งที่เจ้าของรถไม่ควรละเลยเช่นกัน ดังนั้น เรามาเตรียมรถรับมือฤดูฝนที่กำลังจะมาถึงกันเลยดีกว่า
น้ำมันเครื่อง
ส่วนใหญ่ก็จะเปลี่ยนกันตั้งแต่ก่อนหน้าร้อนจะมาเยือนกันไปรอบหนึ่งแล้ว นี่ก็ผ่านพันไป 4-5 เดือนแล้ว รวม ๆ ระยะทางของรถบางคันก็ถึงรอบที่จะต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องกันอีกครั้ง บางคันอาจใกล้ถึงระยะที่จะต้องเปลี่ยนแล้ว ก็น่าจะถือโอกาสนี้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องไปซะเลย เพราะหน้าร้อนที่ผ่านมาน้ำมันเครื่องต้องทำงานหนักมาก ทั้งความร้อนและความชื้นที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอากาศอยู่บ่อย ๆ
หน้าฝนเครื่องยนต์ก็ต้องการน้ำมันเครื่องใหม่ ๆ มาช่วยปกป้องเครื่องยนต์เหมือนกัน เนื่องจากความชื้นในอากาศเป็นตัวสำคัญที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นกับน้ำมันเครื่องทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ไม่แพ้ความร้อน ในพื้นที่ที่มีฝนตกชุกจึงต้องให้ความสำคัญกับน้ำมันเครื่องมากขึ้น
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

ตลาดรถญี่ปุ่นเผชิญศึก ค่าเงินแข็ง-เรื่องอื้อฉาว
บรรยากาศตลาดรถยนต์ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาร้อนแรงเป็นที่จับตามองอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นข่าวการโกงการประหยัดน้ำมันของมิตซูบิชิ ค่ายรถยนต์ชื่อดังจากญี่ปุ่นปัญหาถุงลมนิรภัยทากาตะที่นำไปสู่การเรียกคืนรถยนต์กว่า 50 ล้านคันทั่วโลก หรือโฟล์คสวาเกน บริษัทรถยนต์สัญชาติเยอรมันที่มีการโกงการตรวจสอบมลพิษ กลับมียอดขายรถยนต์ครองอันดับ 1 แซงหน้าโตโยต้า ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากญี่ปุ่น ที่ 2.51 ล้านคัน
ล่าสุด โตโยต้า มอเตอร์ คาดการณ์ว่าผลกำไรจากการดำเนินงานประจำปีงบประมาณปัจจุบันสิ้นสุดเดือน มี.ค. 2017 อาจปรับตัวลงถึง 40.4% อยู่ที่ 1.7 ล้านล้านเยน (ราว 5.5 แสนล้านบาท) ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 5 ปี เนื่องจากเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น และเศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่ที่ชะลอตัว
ส่วนกำไรสุทธิปีงบประมาณเดียวกันอาจร่วงลง 35.1% แตะ 1.5 ล้านล้านเยน (ราว 4.9 แสนล้านบาท) ขณะที่รายได้ก็มีแนวโน้มจะปรับตัวลงราว 6.7% แตะ 26.5 ล้านล้านเยน (ราว 8.61 ล้านล้านบาท)
อาคิโอะ โตโยดะ ประธานบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ระบุว่า ที่ผ่านมาโตโยต้าได้ประโยชน์จากเงินเยนอ่อนค่า ส่งผลให้รายได้ของบริษัทอยู่สูงกว่าระดับจริง ส่วนปีนี้บริษัทต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ที่อาจทำให้สถานการณ์ของโตโยต้าแย่ลงไปอีกในปีนี้
อย่างไรก็ดี โตโยต้าตั้งเป้ายอดจำหน่ายรถยนต์ที่ 10.15 ล้านคันทั่วโลกปีนี้ สูงกว่ายอดขายปีก่อนที่ 10.09 ล้านคันทั่วโลก โดยในปีงบประมาณก่อน ผลกำไรค่าดำเนินงานปรับตัวขึ้น 3.8% แตะ 2.85 ล้านล้านเยน (ราว 9.3 แสนล้านบาท) ผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 6.4% อยู่ที่ 2.31 ล้านล้านเยน (ราว 7.5 แสนล้านบาท) และยอดขายเพิ่มขึ้น 4.3% แตะ 28.40 ล้านล้านเยน (ราว 9.22 ล้านล้านบาท)
มิตซูบิชิรับโกงรถทุกรุ่น
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ผู้ผลิตรถยนต์ชื่อดังจากญี่ปุ่น ยอมรับว่าอาจมีการโกงการประหยัดน้ำมันในรถยนต์ยี่ห้อมิตซูบิชิทุกรุ่นที่จำหน่ายในญี่ปุ่นตลอดช่วง 25 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 6 แสนคัน
จากข่าวฉาวดังกล่าว ส่งผลให้ยอดจำหน่ายรถยนต์มินิคาร์ รุ่นอีเค วากอน และอีเค สเปซ ของมิตซูบิชิ ร่วงลงจากอันดับ 12 มาอยู่ที่อันดับ 19 เช่นเดียวกับรถยนต์รุ่นเดอะ เดย์ส และเดอะ เดย์ส รูกซ์ ของนิสสัน ที่ร่วงลงเช่นกัน โดยยอดจำหน่ายรถยนต์รุ่นเอ็น-บ็อกซ์ ของฮอนด้า ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากญี่ปุ่น ปรับตัวขึ้น 14.4% ตามมาด้วยรถยนต์รุ่นตันโตะของไดฮัทสุ มอเตอร์ ปรับตัวขึ้น 36.7%
.... อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/auto/news/431449
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

4.สว่างไม่ต้องมากก็ได้
ถ้าเป็นไฟ DRL ที่ติดตั้งมาจากโรงงานผู้ผลิต พวกนี้จะมีความสว่างในระดับมาตรฐานอยู่แล้ว แต่รถบางรุ่นที่ไม่ได้ติดตั้งมาให้ เจ้าของอาจนำไปติดตั้งเองจากร้านอุปกรณ์ประดับยนต์ ซึ่งถ้าเลือกซื้อแบบราคาถูกจากจีนหรือไต้หวัน ไฟ DRL พวกนี้ก็มักไม่สว่างเพียงพอต่อการใช้ประโยชน์จริง เน้นติดเอาแฟชั่นเสียมากกว่า ยิ่งถ้าใช้สีอื่นนอกเหนือไปจากสีขาวหรือสีขาวอมเหลืองแล้วละก็ ยังถือว่าผิดกฎหมายอีกด้วย
5.ใช้แทนไฟหน้ายามค่ำคืนได้
รถยนต์บางรุ่นถูกออกแบบไฟ DRL มาอย่างสวยงาม จนทำให้เจ้าของรถบางคนใช้วิ่งยามค่ำคืนโดยไม่เปิดไฟหน้า เพราะต้องการความโดดเด่น แต่รู้ไหมว่านี่ถือเป็นพฤติกรรมที่อันตรายต่อผู้ร่วมทางมาก เพราะไฟเดย์ไลท์จะมีความสว่างมากในเวลากลางคืน เนื่องจากลำแสงจะถูกตั้งให้ส่องไปด้านหน้าเพื่อให้เห็นได้ชัดเจนขณะวิ่งกลางวัน ทำให้แยงสายตาผู้ขับขี่คนอื่นๆในเวลากลางคืน รวมถึงไฟตำแหน่งต่างๆ เช่น ไฟท้าย ไฟส่องทะเบียน ฯลฯ ก็จะไม่สว่างขึ้นมา เสี่ยงต่อการโดนชนท้ายอีกต่างหาก
ดังนั้น เราควรใช้ Daytime Running Light ไม่เพียงเพราะเหตุผลด้านความสวยงามเท่านั้น แต่ยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยอันเป็นจุดประสงค์หลักของมันควบคู่กันไปด้วยครับ
http://auto.sanook.com/52799/
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

1.ต้องเป็นไฟสีขาวเสมอ
ไฟ DRL ที่พบเห็นส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักเป็นแบบ LED ที่ให้แสงสีขาว สวยงาม สะดุดตา ซึ่งไม่ได้หมายความว่าไฟ DRL จะต้องเป็นแบบแอลอีดีเสมอไป รถบางรุ่นยังคงใช้หลอดแบบฮาโลเจนที่ให้แสงสีขาวนวลอมเหลือง ซึ่งก็สามารถใช้ได้เช่นกันหากให้ความสว่างเพียงพอ
2.กินแบตโดยใช่เหตุ
จริงอยู่ที่ถ้ารถมีอุปกรณ์ไฟฟ้ามากขึ้น ก็จะส่งผลให้กินแบตมากขึ้นตามไปด้วย แต่สำหรับไฟ DRL นั้นถือว่ากินแบตน้อยมาก โดยเฉพาะรุ่นที่เป็นแบบ LED แต่ถ้าเป็นหลอดแบบฮาโลเจนก็ใช้พลังงานไม่ต่างไปจากหลอดไฟเบรก (แบบไส้) เลย ดังนั้น จึงตัดกังวลไปได้เลยว่าเปิดไฟเดย์ไลท์แล้วจะทำให้เปลืองแบตรถเปล่าๆ
ทางที่ดีถ้ารถคันไหนมีมาให้ ก็ใช้ไปเถอะครับ เพื่อความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น ไม่ต้องไปปิดหรือเปิดไฟหรี่แทน ซึ่งวิธีนั้นเผลอๆจะกินแบตมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะไฟรถจะสว่างทั้งคัน ไม่เว้นแม้แต่ภายในห้องโดยสาร
3.ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไร
อย่างที่บอกไปว่า DRL ถูกกำเนิดขึ้นด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยเป็นหลัก ดังนั้น การที่เปิดไฟ DRL ทิ้งไว้ จะทำให้รถคันอื่นสามารถสังเกตเห็นรถของคุณได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ในกรณีที่คุณขับรถเร็วอยู่ในช่องทางขวา หากมีรถกำลังจะแซงมาจากเลนซ้าย เขาก็จะสามารถคาดคะเนความเร็วของรถคุณได้ดีขึ้นด้วย เป็นต้น
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

5 ความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับไฟ Daytime Running Light ของคนไทย
ปัจจุบันรถยนต์รุ่นใหม่ๆ เริ่มติดตั้งไฟส่องสว่างสำหรับขับขี่เวลากลางวัน หรือ Daytime Running Light ให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานกันมากขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ แถมยังเป็นช่องทางให้ผู้ผลิตรถยนต์สามารถใส่ลูกเล่นเพิ่มความสวยงามให้กับตัวรถได้มากขึ้น นับเป็นจุดขายอย่างหนึ่งด้วย
ซึ่ง Daytime Running Light หรือที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า 'เดย์ไลท์' นั้น ถูกนำมาบังคับใช้เป็นกฎหมายในยุโรปมาตั้งแต่ปี 2008 ซึ่งรถยนต์นั่งทุกคันที่ผลิตขึ้นสำหรับวางจำหน่ายในยุโรปหลังเดือนกุมภาพันธ์ 2011 เป็นต้นไป จะต้องติดตั้งระบบไฟดังกล่าวมาจากโรงงาน ส่วนรถที่ผลิตไปแล้วก่อนหน้าไม่มีการบังคับใช้กฎหมายที่ว่านี้แต่อย่างใด
คุณลักษณะของไฟ DRL ว่าด้วยมาตรฐานความปลอดภัย UNECE Reg 87 และ 48 กล่าวโดยสรุป คือ จะต้องมีความสว่างจนสามารถเห็นได้ชัดเจนในเวลากลางวัน และจะต้องหรี่หรือดับลงอัตโนมัติเมื่อเปิดไฟหรี่หรือไฟหน้ารถ หาก DRL ถูกติดตั้งไว้ใกล้กับสัญญาณไฟเลี้ยว จะต้องมีการหรี่หรือดับ DRL ข้างที่เหมาะสมโดยอัตโนมัติเมื่อยกก้านไฟเลี้ยว เพื่อป้องกันการรบกวนทำให้ผู้ใช้ถนนไม่สามารถเห็นไฟเลี้ยวได้อย่างชัดเจน เป็นต้น
ซึ่งคุณลักษณะเหล่านี้ จะช่วยให้ผู้ใช้ถนนคันอื่นสามารถเห็นรถที่ติดตั้ง DRL ได้อย่างชัดเจนขึ้นแม้ในเวลากลางวัน ช่วยให้สามารถกะระยะห่างและความเร็วที่แล่นมาของรถได้ดียิ่งขึ้น คล้ายกับกฎหมายที่มีการบังคับรถมอเตอร์ไซค์ให้เปิดไฟหน้ารถไว้ตลอดเวลาขณะขับขี่นั่นเอง ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ผู้ผลิตรถยนต์ในบ้านเราหันมาให้ความสนใจกับฟังก์ชั่นที่ว่านี้กันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
มเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Daytime Running Light ของผู้ใช้รถในบ้านเราอยู่ไม่น้อย ซึงรวบรวมมาไว้ดังนี้ครับ
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

รถเบรกดังควรทำอย่างไร?
เสียงเบรกจากรถยนต์อาจจะเกิดจากหลายสาเหตุ “มติชน” ยานยนต์ มีข้อแนะนำเมื่อเกิดปัญหาเบรกมีเสียงดัง ดังนี้
1.ตรวจสอบผ้าเบรก ดูว่าผิวหน้าของเบรกเป็นมันเงาหรือไม่ เพราะผิวหน้าผ้าเบรกเป็นเหมือนกระจก ความร้อนทำให้ผิวหน้าผ้าเบรกแข็งตัว จึงไม่สามารถแสดงประสิทธิภาพที่แท้จริงของผ้าเบรกได้ ดูว่ามีรอยลักษณะเหมือนจานแผ่นเสียงหรือไม่ รอยที่เกิดจากการเสียดสีกับจานเบรก อาจเป็นสาเหตุให้เกิดอาการสั่นเล็กน้อยได้ หรืออาจมีการสึกไม่เสมอกันหรือไม่ อาจมีความผิดปกติที่คลิปผ้าเบรกหรือลูกสูบมีการฉุดกระชาก
2.ตรวจสอบสภาพของซิมและจาระบี เพราะซิมอาจบิดผิดรูป ส่วนที่เคลือบและยางเสื่อมสภาพ เนื่องจากส่วนที่เป็นยางมักจะแข็งตัวและหลุดออกเมื่อถูกความร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยางในบริเวณที่ถูกลูกสูบกด มักจะหลุดหรือบิดผิดรูปได้ นอกจากนี้ หากบริเวณเขี้ยวอยู่ที่ผ้าเบรกผิดรูป จะทำให้ซิมไม่อยู่ในสภาพเหมาะสม ด้านหลังผ้าเบรกทาจาระบีไว้อย่างพอเหมาะหรือไม่ เพราะจาระบีจะหลุดง่ายเมื่อโดนความร้อน เศษโคลน หรือน้ำ
3.ตรวจสอบผิวหน้าของจานเบรก สังเกตว่าผิวหน้าเปลี่ยนสีออกเป็นสีดำและเป็นมันเงาหรือไม่ เพราะความร้อนทำให้ผิวหน้าเกิดรอยไหม้ นอกจากนี้ ผงสร้างแรงเสียดทานในผ้าเบรกอาจติดอยู่ที่ผิวจานเบรกได้ มีรอยลักษณะเหมือนจานแผ่นเสียงที่ผิวหน้าหรือไม่ เป็นรอยเกิดจากการเสียดสีกับผ้าเบรก สีที่เปลี่ยนไปและรอยที่เกิดขึ้นจะทำให้ระบบการสั่นของผ้าเบรกขณะหยุดรถเปลี่ยนไป ก่อให้เกิดเสียงเบรกได้
4.ตรวจสอบก้ามปู สังเกตว่าบิดผิดรูปหรือไม่ เป็นเรื่องเกิดไม่บ่อยนัก แต่หากถูกกระทบแรงมากๆ ในระยะเวลาหนึ่ง หรือรถเกิดอุบัติเหตุ ตัวก้ามปูจะผิดรูปเล็กน้อย ชิ้นส่วนที่เป็นยางเสื่อมสภาพหรือไม่ หากชิ้นส่วนเป็นยางผิดปกติ จะทำให้ลูกสูบและส่วนที่สไลด์ทำงานไม่ปกติ มีอาการกระชาก เป็นต้น คลิปที่ยึดผ้าเบรกด้วยแรงที่เหมาะสม อาจทำให้เกิดอาการเอียงหรือสั่นเล็กน้อยได้
ส่วนเสียงเสียดสีหรือเหมือนกับการขูดของโลหะ หรือการเสียดสีของวัตถุสองชิ้น อาจเกิดความร้อนและเกิดเสียงดัง มาจากสาเหตุต่างๆ ได้แก่
1.เสียงดังขณะเบรก ผ้าเบรกอาจมีส่วนผสมของโลหะมากเกินไป ควรเปลี่ยนใช้ผ้าเบรกที่มีส่วนผสมโลหะต่ำ
2.เสียงดังความถี่สูง เช่น อี๊ดๆ ขณะเบรก ผ้าเบรกอาจสึกหรอมาก (ความหนาน้อยกว่า 4 มม.) ควรเปลี่ยนผ้าเบรกทันที
3.เสียงความถี่สูงสลับกับเสียงความถี่ต่ำ จานเบรกอาจเสียดสีกับคาลิปเปอร์ ควรตรวจดูการยึดการติดตั้งของคาลิปเปอร์ ความแน่นของสลัก การปรับให้ทาจาระบี และปรับแบริ่งล้อใหม่ให้เหมาะสม
4.เสียงดังความถี่สูง เสียงเสียดสีความถี่สูง แบริ่งล้มหลวม สลักยึดคาลิปเปอร์ยาวเกินไป ควรปรับเปลี่ยนสลักยึดให้ยาวพอดีและเหมาะสม
http://auto.sanook.com/52027/
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

3.ตรวจสอบตำแหน่งจุดหมายปลายทางทุกครั้ง
เมื่อพบสถานที่ปลายทางบนเนวิเกเตอร์แล้ว ควรตรวจสอบรายละเอียดสถานที่นั้นๆให้ดีเสียก่อน ว่าชื่อซอย, ถนน, ตำบล, อำเภอ, จังหวัด ตรงกับที่เราต้องการจะไปจริงๆ บางสถานที่อาจมีชื่อซ้ำกันแต่อยู่คนละจังหวัด อันนี้ยังไม่น่าห่วงเท่าไหร่ แต่บางที่อยู่อำเภอเดียวกันแถมชื่อยังเหมือนกันอีก แบบนี้ต้องเช็คให้ดี
4.ตรวจสอบเส้นทางไปยังจุดหมายโดยละเอียด
เมื่อเนวิเกเตอร์คำนวณเส้นทางเสร็จเรียบร้อย ควรตรวจสอบเส้นทางให้แน่ใจอีกครั้งหนึ่งก่อนเริ่มเดินทาง หากเป็นถนนต่างจังหวัด ก็ควรอิงถนนหลวง หรือถนนเส้นหลักเอาไว้ก่อน พยายามหลีกเลี่ยงเส้นทางย่อยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะบางทีเนวิเกเตอร์อาจพาไปเส้นทางทางที่ชาวบ้านเขาไม่ใช้กันแล้ว
เทคนิคหนึ่งในกรณีที่ระบบนำทางพาไปยังถนนเส้นรองโดยไม่จำเป็น เราสามารถตั้ง 'จุดผ่าน' ให้เป็นถนนเส้นหลักตามที่เราต้องการ เพื่อหลีกเลี่ยงถนนเส้นรองนั้นๆได้
5.วางแผนล่วงหน้าและฝึกใช้ระบบนำทางให้ชำนาญ
การใช้ประโยชน์จากระบบนำทางอย่างดีที่สุดนั้น จำเป็นต้องมีการวางแผนล่วงหน้า ไม่ใช่เริ่มออกเดินทางแล้วค่อยมาเปิดจีพีเอส เพื่อที่จะได้มีเวลาเช็คข้อมูลสถานที่ปลายทาง เส้นทางที่ต้องวิ่งผ่าน รวมถึงจุดแวะต่างๆ อีกทั้งยังควรฝึกใช้ระบบนำทางให้ชำนาญก่อนนำมาใช้จริง จะได้รู้จักสัญลักษณ์และเสียงเตือนต่างๆ ที่ปรากฏอยู่บนแผนที่ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยขณะขับรถได้อีกทางหนึ่งด้วย
http://auto.sanook.com/52393/
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

5 วิธีใช้ 'จีพีเอส' อย่างถูกต้องรับรองไม่มี 'หลงทาง'..!
ปัจจุบันระบบนำทางระบบจีพีเอส มีใช้กันอย่างแพร่หลาย เริ่มตั้งแต่อุปกรณ์ประเภท Standalone สำหรับใช้นำทางโดยเฉพาะ (เช่น Garmin, Kamaz และอื่นๆ) ไปจนถึงระบบนำทางในสมาร์ทโฟน ที่มีแอพพลิเคชั่นให้เลือกใช้มากมาย
แต่ด้วยข้อจำกัดของการอัพเดตข้อมูลแผนที่ ทำให้ถนนบางสาย (โดยเฉพาะต่างจังหวัด) ยังคงขึ้นว่าสามารถขับรถผ่านได้ ทั้งๆที่ถนนเหล่านั้นอาจเป็นเพียงเส้นทางเดินแคบๆ หรือถนนเก่าแก่ที่แทบจะไม่มีใครใช้สัญจรกันอีกแล้ว ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้คุณผู้อ่านหลงทางเพราะเชื่อเนวิเกเตอร์มากเกินไป มีคำแนะนำ 5 ประการดังนี้
1.รอให้เนวิเกเตอร์ล็อคสัญญาณจีพีเอสก่อนเดินทาง
คนส่วนใหญ่มักหยิบโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์เนวิเกเตอร์ขึ้นมา แล้วใส่จุดหมายปลายทางลงไปทันทีโดยไม่รอให้ตัวเครื่องจับสัญญาณจีพีเอสได้ก่อน ทำให้ตำแหน่งที่เราอยู่ไม่ตรงกับจุดเริ่มต้นบนเนวิเกเตอร์ ส่งผลให้การวางแผนเดินทางล่วงหน้าผิดพลาดได้
หากเป็นระบบนำทางบนมือถือที่มีระบบ A-GPS อาจใช้เวลาไม่ถึง 30 วินาทีในการล็อคสัญญาณ แต่หากเป็นเครื่องนำทางโดยเฉพาะที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เข้ามาเกี่ยวข้อง อาจใช้เวลาล็อคสัญญาณราว 3-5 นาทีก็เป็นได้ ถ้าไม่ได้เปิดใช้เป็นเวลานานๆ
2.หลีกเลี่ยงการนำทางแบบ 'Shortest Route'
เนวิเกเตอร์บางรุ่นหรือบางแอพพลิเคชั่นบนมือถือบางตัว สามารถปรับรูปแบบการเลือกเส้นทางได้ แต่เราแนะนำให้หลีกเลี่ยงการนำทางแบบ 'Shortest Route' หรือ 'ทางที่ใกล้ที่สุด' เพราะเนวิเกเตอร์จะพาเราไปยังเส้นทางที่สั้นที่สุดตามข้อมูลที่มีอยู่ในระบบ ซึ่งอาจเป็นทางลูกรังชนิดล้อเกวียนแตก หรือทางที่เลิกใช้ไปตั้งแต่ยุคโบราณแล้วก็เป็นได้
เราแนะนำให้ปรับเป็นแบบ Quickest Route ที่เน้นวิ่งบนถนนเส้นหลัก หรือ Economy Route ในกรณีที่ต้องการหลีกเลี่ยงทางด่วนหรือด่านจ่ายเงิน (ชื่อเรียกอาจแตกต่างไปตามแต่ละยี่ห้อ)
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

กลับไปยังรายบอร์ด
Image Hosted by CompGamer Image Host Image Hosted by CompGamer Image Host