"

Image Hosted by CompGamer Image Host      Image Hosted by CompGamer Image Host
กลับไปยังรายบอร์ด โพสต์ใหม่
4 สิ่งที่ต้องจำให้ขึ้นใจเมื่อขับรถผ่านน้ำท่วม

     ช่วงนี้หลายคนทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด คงต้องเผชิญสภาวะปัญหาน้ำท่วมขังบนท้องถนน ทำให้ขับรถสัญจรไปมาได้อย่างลำบาก แถมยังเสี่ยงทำให้เกิดความเสียหายต่อรถยนต์ที่เรารักได้ด้วย

     การขับรถลุยน้ำท่วมนั้น ใช่ว่าจะขับเหมือนกับช่วงที่น้ำแห้งปกติได้ เพราะการขับผ่านน้ำท่วมขัง อาจส่งผลเริ่มตั้งแต่ป้ายทะเบียนหลุดหาย ไปจนถึงเกิดความเสียหายกับชิ้นส่วนภายนอกตัวรถและห้องเครื่อง และรุนแรงที่สุดอาจทำให้เครื่องยนต์พังได้ในพริบตาเดียว

     ดังนั้น จึงขอแนะนำ 4 สิ่งที่ต้องจำให้ขึ้นใจเมื่อขับรถผ่านน้ำท่วม มีอะไรบ้าง?

1.เลือกช่องทางเดินรถที่มีน้ำท่วมขังต่ำที่สุด

     หากสามารถหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีน้ำท่วมขังได้ ก็แนะนำให้เลี่ยงไปเส้นทางอื่นจะดีกว่า แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ให้เลือกช่องจราจรที่มีน้ำท่วมขังในระดับต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเป็นการลดโอกาสที่จะทำให้เกิดความเสียหายกับตัวรถและเครื่องยนต์ หากรถหยุดนิ่งเนื่องจากสภาพจราจรติดขัด ให้ทำใจเย็นๆเข้าไว้ ไม่ต้องเปลี่ยนไปยังเลนที่มีน้ำท่วมขังสูงกว่า ตราบใดที่เครื่องยนต์ยังคงทำงานอยู่ น้ำจะไม่มีโอกาสเข้าทางท่อไอเสียเครื่องยนต์อย่างแน่นอน

2.ใช้ความเร็วต่ำที่สุดขณะลุยน้ำ

     การขับรถลุยน้ำให้ใช้ความเร็วต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะการใช้ความเร็วสูงเกินไป จะทำให้ปริมาณน้ำจำนวนมากไหลหลั่งเข้ามาในห้องเครื่องยนต์อย่างรวดเร็ว จนเป็นเหตุให้ท่วมถึงระดับหม้อกรองอากาศ และถูกดูดเข้าไปยังห้องเผาไหม้ จนเป็นสาเหตุให้เครื่องยนต์น็อคเนื่องจากก้านสูบคดหรือหักได้

3.ห้ามเร่งเครื่องยนต์

     หลายคนเข้าใจผิดว่าการขับรถลุยน้ำท่วมต้องเร่งเครื่องยนต์ให้รอบขึ้นสูงเพื่อป้องกันรถดับ แต่ความคิดนี้ผิดมหันต์! เพราะการเร่งเครื่องยนต์ขึ้นสูงนอกจากจะไม่มีประโยชน์ใดๆแล้ว ยังทำให้เครื่องยนต์มีแรงดูดอากาศเข้าไปยังห้องเผาไหม้มากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงที่น้ำจะถูกดูดเข้าไปในเครื่องยนต์มากขึ้นด้วย

4.ปิดแอร์ทันทีเมื่อระดับน้ำขึ้นสูง

     ขณะขับรถลุยน้ำ หากพบว่าระดับน้ำเริ่มขึ้นสูง ให้รีบปิดแอร์ในทันทีเพื่อตัดการทำงานของพัดลมแอร์ เนื่องจากใบพัดอาจหมุนกระแทกเข้ากับน้ำด้วยความรุนแรงจนเป็นสาเหตุให้แตกหรือหักได้ ให้สังเกตว่าหากระดับน้ำเริ่มแตะใต้ท้องรถเมื่อไหร่ ให้รีบปิดแอร์ในทันที แต่หากเริ่มปิดตั้งแต่เริ่มลุยน้ำได้ก็จะดีมาก

     เหล่านี้เป็นเทคนิคง่ายๆ ในการลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความเสียหายต่อตัวรถและเครื่องยนต์ หากคราวหน้าคุณจำเป็นต้องขับรถลุยน้ำ ก็อย่าลืมนำสิ่งเหล่านี้ไปใช้ด้วยนะครับ
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

วิธีแก้ไขเบื้องต้นสำหรับ รถจมน้ำ!

ช่วงหน้าฝนนี้ นอกจากจะต้องคอยดูแลรถยนต์ให้ดี ต้องล้างรถบ่อยๆ แล้ว บางครั้งหากน้ำมาเยอะ ก็อาจเจอน้ำท่วมขังในบางจุด แต่ถ้าซวยสุดๆ น้ำทะลักเข้าพื้นที่ที่คุณอยู่จนมันท่วมหนัก รถของคุณไม่สามารถขยับหนีได้ ก็ต้องทำใจปล่อยให้ รถจมน้ำไปตามยถากรรม

      ซึ่งทุกๆ จังหวัดไม่เว้นแม้แต่กรุงเทพฯ ต่างมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะถูกน้ำท่วมรถ แต่ก็อย่าได้กังวลไป เพราะเรามีวิธีแก้ไขเบื้องต้น ที่จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ ดังนี้

   1. ล้างอัดฉีดรถให้สะอาด เพื่อไล่เศษสิ่งสกปรก เศษหินดินทราย ให้หลุดออกไปให้หมด ไม่เว้นแม้แต่ซอกเล็กซอกน้อยตามจุดต่างๆ ทั้งใต้ซุ้มล้อ ใต้ท้องรถ ฯลฯ   

    2. หากน้ำท่วมสูงจนถึงกระจกหน้าต่าง หรือฝากระโปรงรถ อย่าบิดกุญแจให้ระบบไฟทำงานเป็นอันขาด เพื่อป้องกันระบบไฟเสียหาย ทางที่ดีคุณควรถอดอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดออกมา เช่น กล่อง ECU กล่องรีเลย์ หัวเทียน ฯลฯ แล้วนำไปตากแดดให้แห้ง และสำหรับรถเบนซินให้นำลมไปเป่าไล่น้ำที่เบ้าหัวเทียนออกให้หมด (เพื่อความปลอดภัย ควรถอดขั้วแบตเตอรี่ออกก่อนที่น้ำจะท่วมสูง)

   3. นำรถไปจอดตากแดด พร้อมกับเปิดประตูทั้งหมดทิ้งไว้ เพื่อไล่กลิ่นเหม็นอับต่างๆ ออกไปให้หมด นอกจากนี้คุณควรถอดโคมไฟหน้า และไฟท้ายออกมาตากแดดด้วย เพื่อไล่ความชื้นที่มีอยู่ออกไปให้หมดเช่นกัน

   4. ตรวจเช็กของเหลวในระบบเครื่องยนต์ต่างๆ เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก ฯลฯ ว่ามีสีเปลี่ยนไป มีสีผิดปกติไปจากเดิม หรือมีน้ำเข้าไปเจือปนหรือไม่ หากมีเป็นสีคล้ายสีของชาเย็น ให้ทำการเปลี่ยนถ่ายใหม่ทันที

   5. เปลี่ยนกรองอากาศใหม่ทันที ไม่ว่าจะเป็นกรองเดิม กรองแต่ง กรองซิ่งต่างๆ เพราะมันอาจเกิดสนิมขึ้นด้านในที่คุณมองไม่เห็น ซึ่งหากฝืนใช้ไป สนิมอาจเล็ดลอดเข้าไปภายในห้องเครื่อง จนทำให้เกิดปัญหาใหญ่ได้

   6. ประกอบอุปกรณ์ทุกอย่างที่ถอดออกมาตากแดดจนแห้งแล้วกลับเข้าที่เดิม จากนั้นนำรถเข้าไปตรวจเช็กอย่างละเอียดที่อู่ หรือศูนย์บริการอีกครั้ง เพื่อความชัวร์ และความปลอดภัย

     แม้คุณจะไม่สามารถบังคับฟ้า บังคับฝนได้ แต่คุณสามารถเตรียมความพร้อม เตรียมรับมือกับปัญหาเหล่านี้ได้ หรือต่อให้ถึงที่สุดจริงๆ ไม่สามารถนำรถขึ้นที่สูงหนีน้ำได้ คุณก็ยังมีวิธีแก้ไขผ่อนจากหนักให้เป็นเบา แต่ถ้าจะให้ดีสุดๆ เพียงแค่คุณมีประกันที่รับเคลมน้ำท่วมรถ ก็ไม่ต้องกังวลอะไรมากมาย สามารถเรียกประกันมาเคลมได้เลยครับ
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

8 สัญลักษณ์บนหน้าปัดรถที่คุณอาจไม่รู้ความหมาย
ผู้ขับขี่ทุกคนควรรู้จักและเข้าใจความหมายของสัญญาณเตือนบนหน้าปัดรถ เพราะเป็นสิ่งบ่งบอกถึงความผิดปกติของตัวรถ เพื่อที่จะรับมือแก้ไขปัญหาก่อนลุกลามบานปลายได้ แต่เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของสัญลักษณ์บนหน้าปัดว่าหมายถึงอะไรกันแน่
จึงขอแนะนำ 8 สัญลักษณ์พื้นฐานบนหน้าปัดรถ จะได้รู้ความหมายที่แท้จริงกัน
1.ไฟเตือนระบบเบรก
หากสัญญาณไฟเตือนระบบเบรกสว่างขึ้น แสดงว่าเบรกมือกำลังทำงานอยู่ แต่หากปลดเบรกมือลงแล้วสัญญาณไม่ดับหรือกระพริบต่อเนื่อง เป็นไปได้ว่าน้ำมันเบรกพร่องเกินระดับปกติ รวมถึงอาจเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับระบบป้องกันล้อล็อค (ABS - Anti-lock Brake System) ในกรณีที่ใช้สัญญาณเตือนร่วมกัน
2.ไฟเตือนรูปแบตเตอรี่
หลายคนเข้าใจว่าหากสัญญาณเตือนรูปแบตเตอรี่สว่างขึ้น แสดงว่าแบตเตอรี่ใกล้หมด แต่แท้จริงแล้วสัญญาณดังกล่าวบ่งบอกว่าไดชาร์จไม่ทำงาน ซึ่งจะทำให้ระดับไฟในแบตเตอรี่ลดลงอย่างช้าๆ จนเครื่องยนต์ดับลงในที่สุด ทางที่ดีหากสัญญาณเตือนรูปแบตเตอรี่สว่างขึ้น ควรรีบนำรถไปยังศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถใกล้เคียงโดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันรถตายกลางทาง
3.ไฟหัวเผาเครื่องยนต์ดีเซล
รถเครื่องยนต์ดีเซลจะมีสัญลักษณ์รูปขดลวด ซึ่งจะสว่างขึ้นเมื่อบิดกุญแจไปยังตำแหน่ง 'ON' ก่อนที่จะสตาร์ทเครื่องยนต์ หากเป็นเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นเก่าที่มีปัญหาสตาร์ทติดยาก สามารถบิดกุญแจไปตำแหน่ง 'ON' เพื่อให้ระบบเผาหัวทำงานประมาณ 1-2 ครั้ง จะช่วยให้เครื่องยนต์สตาร์ทติดได้ง่ายขึ้น
4.ไฟเตือนระบบควบคุมการทรงตัว
รถยนต์ทุกคันที่ติดตั้งระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว จะตั้งค่าเริ่มต้นให้ระบบทำงานทุกครั้งที่สตาร์ทเครื่องยนต์ หากปิดระบบดังกล่าว สัญญาณเตือนรูปรถส่ายไปมาจะสว่างขึ้น เพื่อแจ้งให้ทราบว่าระบบปิดการทำงานอยู่ ซึ่งระหว่างนี้หากรถมีอาการเสียหลัก ระบบจะไม่ช่วยควบคุมการทรงตัวของรถแต่อย่างใด
นอกจากนั้น สัญญาณเตือนดังกล่าวอาจกระพริบในขณะขับรถบนทางเปียก แสดงว่าระบบกำลังช่วยควบคุมเสถียรภาพการขับขี่อยู่ ซึ่งผู้ขับเองอาจไม่รู้สึกว่าระบบกำลังทำงานก็เป็นได้
5.ไฟเตือนแรงดันน้ำมันเครื่อง
หากไฟเตือนแรงดันน้ำมันเครื่องสว่างขึ้น แสดงว่าปริมาณน้ำมันเครื่องในห้องเครื่องยนต์อยู่ในระดับต่ำเกินไป ควรจอดรถเช็คระดับน้ำมันเครื่องให้เร็วที่สุด หากน้ำมันเครื่องพร่องจริง ก็ควรเติมทันทีอย่างน้อย 1 ลิตร หรือจนกว่าสัญญาณจะดับลง แต่หากน้ำมันเครื่องยนต์อยู่ในระดับปกติอยู่แล้ว อาจเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับปั๊มน้ำมันเครื่องหรือมีการอุดตันของน้ำมันในระบบได้
6.ไฟเตือนระบบถุงลมนิรภัย
ปกติไฟเตือนระบบถุงลมนิรภัยจะสว่างขึ้นเมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ และจะดับไปหลังจากเครื่องยนต์ติดไม่นาน แต่หากสัญญาณไฟยังสว่างอยู่ แสดงว่ามีความผิดปกติเกี่ยวกับถุงลมนิรภัย หากเกิดอุบัติเหตุจะทำให้ถุงลมไม่พองตัว จึงควรนำรถเข้าเช็คเมื่อมีโอกาส
7.ไฟเตือนระบบพวงมาลัยไฟฟ้า
รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่ติดตั้งระบบพวงมาลัยไฟฟ้า จะมีสัญญาณเตือนรูปพวงมาลัย หรือ PS หรือ EPS ซึ่งจะสว่างขึ้นเมื่อเกิดความผิดปกติของระบบ โดยมากมักจะสว่างขึ้นควบคู่ไปกับอาการพวงมาลัยหนัก แสดงว่ามีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบไฟหรือมอเตอร์พวงมาลัย ควรประคองรถเข้าศูนย์หรือใช้บริการรถยกเพื่อแก้ไขปัญหา
8.ไฟเตือนความร้อนสูง
ในรถรุ่นใหม่ที่ไม่มีเข็มวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นมาให้นั้น จะมาพร้อมสัญลักษณ์รูปเทอร์โมมิเตอร์สีแดง ซึ่งจะสว่างขึ้นเมื่อเครื่องยนต์เกิดอาการโอเวอร์ฮีท ความร้อนขึ้นสูง หากสัญญาณไฟดังกล่าวสว่างขึ้น ให้รีบจอดรถเข้าข้างทางทันที่ก่อนเครื่องยนต์น็อค ดับเครื่องยนต์ รอจนกว่าเครื่องยนต์จะเย็นลงแล้วจึงเช็คระดับน้ำหม้อน้ำ หากน้ำแห้ง ให้เติมจนถึงระดับแล้วจึงขับขี่ต่อ แต่หากรถยังคงมีอาการโอเวอร์ฮีทอีก แสดงว่าเกิดการรั่วในระบบน้ำหล่อเย็น
นอกจากนั้น ผู้ขับขี่ไม่ควรวางสิ่งของใดๆ บนแผงหน้าปัด เพราะอาจบดบังสัญญาณเตือนเหล่านี้ จนทำให้เกิดความเสียหายตามมาได้
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

สาเหตุที่ทำให้รถ เบรกแตก!!!

  หากพูดถึงอุบัติเหตุอันตรายจากการขับรถ เชื่อว่าหลายๆ คนคงนึกถึงเรื่อง เบรกแตก เป็นอันดับต้นๆ เพราะหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นจริงๆ ความเสี่ยงเกี่ยวกับความปลอดภัยของชีวิต และทรัพย์สิน มีโอกาสสูงมากทีเดียว แม้ว่าอาการนี้จะเกิดขึ้นค่อนข้างยากก็ตาม

   สำหรับอาการเบรกแตก จริงๆ แล้วเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย หลายสาเหตุ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดการดูแลรักษา และตรวจเช็กสภาพการใช้งานนั่นเอง

    เอาเป็นว่า มาดูสาเหตุหลักอื่นๆ กันดีกว่า ว่ามีอะไรอีกบ้าง ที่ทำให้รถของคุณเบรกแตก

   1. น้ำมันเบรกเสื่อมสภาพ จนทำให้ลูกยางในกระบอกปั๊มล้อที่ทำหน้าที่ป้องกันน้ำมันรั่ว เสื่อมสภาพตามไปด้วย จึงทำให้น้ำมันเบรกรั่วออกมา ซึ่งหากคุณอยากตรวจสอบลูกยางตัวนี้ ก็สามารถทำได้ง่าย แค่เพียงถอดล้อออก จากนั้นถอดจานเบรกแล้วเปิดยางกันฝุ่นที่ครอบตัวกระบอกปั๊มออกมา และสังเกตดู หากมีน้ำมันเบรกรั่วออกมา ก็แปลว่าลูกยางเสื่อมแล้ว จัดการเปลี่ยนได้เลย

   2. สายอ่อน หรือท่อทางเดินน้ำมันเบรกรั่ว อาการนี้ดูได้ง่ายๆ หากมีคราบ หรือรอยซึมของน้ำมันเบรกไหลออกมา

   3. แรงดันของน้ำมันเบรกมาไม่เต็มระบบ อาการนี้เกิดขึ้นเพราะมีอากาศอยู่ในระบบน้ำมันเบรก ซึ่งอาจเป็นเพราะการไล่อากาศ หรือไล่ลมออกไปไม่หมดจากระบบ เมื่อตอนเปลี่ยนน้ำมันเบรกใหม่ ฯลฯ จึงทำให้ไม่สามารถส่งแรงดันไปได้อย่างเต็มที่

   4. น้ำมันเบรกหมด หรือเหลือน้อย มันจะส่งผลทำให้เบรกใช้งานได้ไม่เต็มที่ เบรกไม่ค่อยอยู่ หรือเบรกจมลึกผิดปกติ ฯลฯ ให้ตรวจเช็ก และเติมน้ำมันเบรกให้ถึงระดับที่กำหนด


   5. น้ำมันเบรกชื้น ขณะที่กดเบรกลงไป เบรกจะมีความร้อน และการเสียดสีเกิดขึ้น ดังนั้นเมื่อน้ำมันเบรกมีความชื้นผสมอยู่ มันก็จะระเหยกลายเป็นไอ ลูกสูบไม่สามารถทำงานได้ จึงทำให้เบรกไม่อยู่นั่นเอง

   6. สายเบรกขาด แม้เปอร์เซ็นต์ในการเกิดขึ้นจะน้อย แต่ใช่ว่าจะไม่มีเลย ซึ่งวิธีสังเกตให้ตรวจดูใต้ท้องรถว่ามีน้ำมันรั่วหรือไม่ และก่อนออกรถให้ทดสอบเหยียบเบรกดูก่อน ว่าเบรกอยู่รึเปล่า

   7. ผ้าเบรก หากผ้าเบรกหมด ผ้าเบรกไหม้ ฯลฯ ก็มีโอกาสเสี่ยงสูงที่รถของคุณจะเบรกแตกได้เช่นกัน

   อาการเบรกแตกไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะมันอาจทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต และทรัพย์สินของคุณได้ ทางที่ดีคุณจึงควรหมั่นตรวจเช็กระบบเบรก และน้ำมันเบรกเป็นประจำ นอกจากนี้ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกเมื่อถึงระยะที่กำหนดทุกครั้ง รวมไปถึงผ้าเบรกด้วย เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

หัวเทียน Iridium ดีกว่าของธรรมดายังไง?

    หัวเทียนรถยนต์ หากขาดมันไป รถยนต์ของคุณก็จะไม่สามารถทำงาน หรือเคลื่อนที่ไปไหนได้ เพราะมันคือตัวเริ่มต้นในการสร้างประกายไฟสำหรับจุดระเบิดในห้องเผาไหม้ เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานนั่นเอง

      จริงๆ แล้วหัวเทียนมีให้เลือกใช้อยู่หลายรุ่น ทั้งหัวเทียนร้อน - หัวเทียนเย็น และยังมีหัวเทียนแบบ หลายเขี้ยว ฯลฯ แต่ในครั้งนี้เราจะขอพูดถึง หัวเทียน Iridium (อิริเดียม) ที่มีความพิเศษมากกว่าแบบธรรมดา ซึ่งหัวเทียน Iridium จะมีคุณสมบัติเด่นกว่าแบบธรรมดายังไง มาดูได้ตามนี้เลย

     1. มีกำลังไฟในการจุดระเบิดที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น
     2. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจุดระเบิด
     3. ประหยัดน้ำมันมากขึ้น เพราะเครื่องยนต์ทำงานได้สมบูรณ์ เผาไหม้หมดจด
     4. โอกาสในการเกิดอาการหัวเทียนบอดจะน้อยมากกว่าแบบธรรมดา
     5. อัตราเร่งดีขึ้นแบบรู้สึกได้
     6. อายุการใช้งานยาวนานกว่าหัวเทียนธรรมดา

      ข้อเสียของหัวเทียน Iridium มีอย่างเดียวเลยคือ ราคาที่แพงกว่าหัวเทียนธรรมดา แต่หากเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้เพิ่มขึ้นมา นับว่าคุ้มค่ามากทีเดียว แถมมันยังทนทาน มีอายุการใช้งานนานขึ้นอีกด้วย

      แต่หากคุณคิดว่าหัวเทียนเดิมๆ โอเคแล้ว ไม่มีความต่าง ก็ไม่มีปัญหา สามารถใช้งานได้เหมือนกัน แต่ถ้าอยากเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น ก็ลองเลือก หัวเทียน Iridium มาใช้งานได้เช่นกัน และที่สำคัญที่สุด อย่าลืมตรวจเช็กสภาพรถให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอด้วยนะครับ
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

"ลมยางอ่อน" เสี่ยงอันตรายกว่าที่คิด

ยางรถยนต์เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้รถขับเคลื่อนได้อย่างปลอดภัย ซึ่งการละเลยตรวจสอบลมยางจนเป็นเหตุให้ลมยางอ่อน อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงอันตรายมากกว่าที่คิด

     คนใช้รถจำนวนไม่น้อยมักละเลยการตรวจสอบแรงดันลมยางให้เหมาะสมอยู่เสมอ เนื่องจากคิดไม่ถึงว่าลมยางที่น้อยจนเกินไป อาจสร้างความเสียหายได้มากมายมหาศาล โดยเฉพาะการขับขี่ด้วยความเร็วสูง เนื่องจากลมยางที่อ่อนเกินไป จะทำให้ยางเกิดการยุบตัวได้ง่าย (นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมลมยางอ่อนจึงทำให้รถนุ่มขึ้น) จนเป็นสาเหตุให้แก้มยางบิดตัวมากกว่าปกติ จนเป็นสาเหตุให้ยางระเบิดขณะขับขี่ได้

ขณะเดียวกัน ลมยางอ่อนจะทำให้ดอกยางด้านข้างหมดเร็วกว่าปกติ เนื่องจากแก้มยางจะบานออก ทำให้ยางสึกไม่เท่ากันทั้งเส้น ตรงข้ามกับยางที่มีลมยางมากจนเกินไป ก็จะทำให้ดอกยางส่วนกลางหมดเร็วกว่าด้านข้าง เนื่องจากยางพองตัวจนหน้ายางไม่สามารถสัมผัสพื้นถนนเท่ากันทั้งเส้น

ไม่เพียงเท่านั้น ลมยางที่อ่อนจนเกินไปจะส่งผลให้รถเปลืองน้ำมันขึ้นด้วย เนื่องจากเกิดแรงเสียดทานมากกว่าปกติ จึงเพิ่มภาระเครื่องยนต์ให้ทำงานมากกว่าปกติจนเป็นสาเหตุให้กินน้ำมันมากขึ้นถึง 10 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

  ทางที่ดีควรตรวจสอบลมยางทุกครั้งก่อนออกเดินทางไกล หากมีผู้โดยสารไปด้วยเต็มคันก็ควรเพิ่มแรงดันลมยางขึ้นไปอีก เพื่อรองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปกติจะต้องบวกเพิ่มประมาณ 8-10 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (PSI) ในกรณีมีผู้โดยสาร 5 คน พร้อมสัมภาระเต็มคัน

     รู้แบบนี้แล้วควรเช็คลมยางเพื่อความปลอดภัยของตัวเองกันครับ
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

ซ่อมหรือเปลี่ยน? หากยางรถยนต์ชำรุด

ยางรถยนต์ นับเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ในเรื่องของความปลอดภัย และยังถือเป็นอะไหล่สิ้นเปลืองที่ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ เช่นกัน ดังนั้นคุณจึงควรตรวจสอบ และดูแลมันให้ดีอยู่เสมอ ซึ่งบางครั้งบางคราว ยางรถยนต์ของคุณ ก็อาจประสบเหตุไม่คาดคิด ทำให้เกิดความเสียหายขึ้น และบางเหตุการณ์อาจเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่บางเหตุการณ์อาจเป็นเรื่องใหญ่

ดังนั้นเราจึงขอแยกแยะให้เข้าใจว่า แบบไหนควรซ่อม หรือแบบไหนควรเปลี่ยน เพื่อเป็นตัวเลือกให้คุณตัดสินใจ

ยางรถยนต์ชำรุดที่สามารถซ่อมได้ หากยางรถโดนตะปูตำ หรือโดนสิ่งของมีคมต่างๆ ทิ่มแทงจนเป็นรู เป็นรอยเจาะโดยไม่มีการฉีกขาดใดๆ เกิดขึ้น คุณสามารถนำยางไปปะตามร้านยางทั่วไปได้เลย ใช้เวลาไม่นาน แถมยังราคาถูก ร้อยกว่าบาทเท่านั้น แต่การปะที่ว่านี้ มีให้เลือกใช้งานอยู่ 2 แบบ ดังนี้

1. ปะแบบแทงใยไหม-อัดรูหนอน การปะประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องถอดยางออกมาจากล้อ และควรใช้ในกรณีที่มีบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ รูไม่ใหญ่มาก ซึ่งวิธีการทำก็คือ การนำใยไหมมาอุดเข้าไปตรงรูที่มีการรั่วซึม จากนั้นจึงทดสอบรอยรั่วให้แน่ใจอีกครั้ง

2. ปะแบบสตรีมร้อน สมควรใช้ในกรณีที่มีบาดแผลค่อนข้างใหญ่ จนไม่สามารถแทงใยไหม-อัดรูหนอนได้ และวิธีนี้จำเป็นต้องถอดยางออกมาจากล้อ เพราะต้องใช้แผ่นปะมาอุดรอยรั่ว แล้วจึงใช้ความร้อนทำให้แผ่นปะละลายไปติดกับเนื้อยางเดิม เพื่ออุดบริเวณที่รั่ว หลังจากนั้นจึงทำการทดสอบรอยรั่วอีกครั้ง ก่อนประกอบกลับเข้าที่

ยางรถยนต์ชำรุดที่ควรเปลี่ยนไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนก็ตาม ทั้งหน้ายาง แก้มยาง ฯลฯ หากเกิดรอยฉีกขาดขึ้น คุณควรที่จะจัดการเปลี่ยนเป็นยางเส้นใหม่ไปเลย มันไม่คุ้มแน่ๆ หากนำไปซ่อม เพราะซ่อมยังไงก็ไม่อยู่แน่นอน แถมยังเสี่ยงอันตรายหากมันเกิดปัญหาขึ้นมา เช่น ยางระเบิด ยางแตก ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันนี้ราคายางใหม่ก็ไม่ได้แพงมาก สามารถเลือกเปลี่ยนเฉพาะเส้นที่มีปัญหาก็ได้ แต่ถ้าขัดสนเรื่องงบประมาณ ลองหายางเปอร์เซ็นต์มาใช้ทดแทนไปก่อนก็ได้เช่นกัน

จริงๆ แล้วคุณจะเลือกการปะยางแบบไหนก็ได้ ตามที่คุณสบายใจ เพราะสุดท้ายทั้ง 2 วิธีการปะที่ว่ามานี้ ก็สามารถใช้งานได้ดีไม่แพ้กัน เพียงแต่ถ้าเป็นรอยใหญ่ๆ ใช้ปะแบบสตรีมจะดีกว่า เพราะมันครอบคลุมรอยแผลได้มากกว่า และการเปลี่ยนยางใหม่อย่าคิดว่าใช้เงินเยอะ เพราะหากเกิดอะไรขึ้นมา ชีวิตคุณมีค่ามากกว่าราคายางไม่กี่พันบาทแน่นอน
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อน้ำมันกำลังจะหมด!!!

น้ำมันหมด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย ซึ่งบางครั้งอาจเป็นเพราะรถติดหนัก ขยับทีละคืบ หรือเวลาเดินทางไกลๆ ขับไปก็ไม่เจอปั๊มน้ำมันสักที มันก็ชวนให้ใจหวิวๆ ลุ้นหนักอยู่เหมือนกันว่า น้ำมันจะหมดก่อน หรือจะถึงปั๊มก่อนกันแน่

แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นจริงๆ สัญญาณเตือนน้ำมันกำลังจะหมดแสดงขึ้นมา ให้คุณทำตามวิธีเหล่านี้

1. ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกอย่างในรถ เช่น วิทยุ เครื่องเสียง แอร์ และอื่นๆ ฯลฯ

2. ใช้ความเร็วคงที่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อประหยัดน้ำมัน โดยควบคุมให้ความเร็วอยู่ราวๆ 50 - 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สำหรับรถไม่เกิน 1,800 ซีซี และใช้ความเร็วราวๆ 60 - 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สำหรับรถที่มีขนาดเกิน 2,000 ซีซี ขึ้นไป

3. อย่าลดความเร็วลงโดยไม่จำเป็น และอย่าเบรกบ่อยๆ เพราะการทำแบบนี้จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันอย่างมาก

4. หลบเลี่ยงเส้นทาง หรือถนนที่มีหลุมมีบ่อเยอะๆ ทั้งหลุมเล็ก-หลุมใหญ่ เพราะมันจะทำให้คุณต้องเหยียบเบรก และคันเร่งบ่อยขึ้น

5. อย่าเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ (แง้มไว้แค่เล็กน้อย) เพราะมันจะต้านแรงลมที่พุ่งเข้ามาหารถของคุณ แม้วิธีนี้จะช่วยไม่ได้มาก แต่มันก็ถือว่าช่วยได้เหมือนกัน

6. หลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีการจราจรหนาแน่น แม้จะเป็นเรื่องที่ยาก เพราะไปทางไหนก็มีแต่รถติด แต่การขับไปเรื่อยๆ กับการขับๆ เบรกๆ มีผลต่ออัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน

แม้เหตุการณ์น้ำมันหมด จะมีเปอร์เซ็นต์เกิดขึ้นได้น้อย แต่ทางที่ดีคุณก็ควรที่จะเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินทางทุกครั้ง ตรวจเช็กปริมาณน้ำมันในถังที่หน้าปัดรถยนต์ก่อนสตาร์ทรถ รวมไปถึงความพร้อม ความสมบูรณ์ของรถยนต์ และเครื่องยนต์ด้วย จะได้เดินทางราบรื่น ไม่มีสะดุด เพราะไม่ใช่เรื่องเล่นๆ หากขับรถไปแล้วเกิดปัญหากลางทาง
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

6 วิธีปกป้องรถจากกองทัพแมลงสาบ ปิดความเสี่ยงอุบัติเหตุบนท้องถนน

     
     ปัญหานี้มีคำตอบ เมื่อผู้เชี่ยวชาญด้านกำจัดสัตว์รบกวนของสิงคโปร์แนะ 6 วิธีง่ายๆ ไว้ปฏิบัติกัน

     1. หลีกเลี่ยงการนำอาหารขึ้นไปกินบนรถ ตามที่บริษัทกำจัดสัตว์รบกวน 'เรนโตคิล สิงคโปร์' บอกไว้ว่า แมลงสาบกับอาหารเป็นของคู่กัน การทิ้งเศษอาหาร, ภาชนะใส่อาหารไว้บนรถจำนวนมาก จะสิ่งกลิ่นให้แมลงสาบแวะมาเยี่ยมเยียนในรถได้แล้ว  

     แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ที่ต้องกินอาหารบนรถ โดยเฉพาะรถคันที่มีเด็กนั่งด้วย ก็จำเป็นต้องทำความสะอาดอย่างถี่ถ้วนทุกครั้งหลังจากนั้น และการที่เหล่าแมลงสาบชื่นชอบสิ่งแวดล้อมที่ชื้นๆ ดังนั้นเมื่อทำอาหารหกหรือหล่นในรถขอให้รีบเช็ดทำความสะอาดทันที

     2. ทำความสะอาดและจัดระเบียบภายในรถเป็นประจำ เพราะการทำความสะอาดรถเป็นประจำ คือวิธีหนึ่งที่ป้องกันไม่ให้แมลงสาบมาอาศัยอยู่ภายในรถ โดยเฉพาะบริเวณพรม, ช่องว่างระหว่างเบาะที่นั่ง, และช่องวางของข้างประตู

     นอกจากเช็ดถูทำความสะอาดแล้ว ยังมีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านกำจัดสัตว์รบกวนด้วยว่าควรใช้เครื่องดูดฝุ่นร่วมด้วย เพราะแมลงสาบส่วนใหญ่ชอบซ่อนตัวและทำรังภายในซอกต่างๆ ของรถ เช่น ฝากระโปรงหลังรถ จัดเก็บสิ่งของในกล่องพลาสติกที่มีฝาปิดมิดชิด นอกจากนี้แมลงสาบยังสามารถย้ายตัวเองจากสิ่งของหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งอย่างติดมากับถุงจ่ายตลาด เจ้าของรถอาจต้องตรวจดูก่อนว่าไม่มีเจ้าแมลงนี้ติดมาด้วย

3. หลีกเลี่ยงการจอดรถใกล้กับถังขยะ หรือฝาท่อน้ำทิ้ง บรรดาเจ้าของรถควรหลีกเลี่ยงจอดรถของท่านใกล้กับแหล่งกำเนิดหรือเพาะพันธุ์แมลงสาบ เช่น ถังขยะ, หรือท่อน้ำทิ้งและสิ่งปฏิกูล แมลงสาบสามารถเข้าสู่ภายในตัวรถของท่านได้จากท่อเครื่องปรับอากาศ ซึ่งเป็นเส้นทางหลักการเดินทาง ดังนั้นก่อนจอดรถในบริเวณที่กล่าวมาข้างต้น ขอให้เจ้าของรถมั่นใจว่า หน้าต่าง, ประตู, ท่อแอร์ ปิดสนิทเรียบร้อยแล้ว

     4. ระมัดระวังการใช้สารเคมีกำจัดแมลง ถึงแม้การใช้สารเคมีกำจัดแมลงจะเป็นวิธีที่รวดเร็ว แต่สิ่งหนึ่งที่เจ้าของรถพึงระวังคือ ระวังอย่าเข้าไปอยู่ภายในรถขณะใช้ เพราะสารเคมีในยากำจัดแมลงสามารถติดไฟได้ อีกทั้งยังเป็นอันตรายกับมนุษย์และสัตว์เลี้ยง หรือจะเลี่ยงการใช้สารเคมี ด้วยการนำกับดักแมลงสาบไปวางไว้ใต้เบาะที่นั่ง ก็สามารถช่วยดักจับได้อีกวิธีหนึ่ง

     5. ใบเตย มีช่วงหนึ่งที่คนไทยฮิตวางใบเตย 1 กำไว้ด้านหลังเบาะผู้โดยสาร ที่สิงคโปร์ก็ทำเหมือนกัน แต่พวกเขาเชื่อว่า กลิ่นของใบเตยช่วยไล่แมลงสาบได้ เรื่องนี้ 'ดร. ชาน เฮียง เฮา' นักกีฏวิทยา ของเรนโตคิล บอกว่า ใบเตยไม่ได้ฆ่าแมลงสาบ ช่วยเพียงป้องกันเท่านั้น เหนือสิ่งอื่นใดควรเช็ดใบเตยให้แห้ง เนื่องจากใบเตยสามารถเป็นอาหารของแมลงสาบและแมลงอื่นๆ ได้

     6. เห็นแมลงสาบเพียงตัวเดียว อาจมีอีกเป็นฝูงภายในรถ ตามสถิติจากการกำจัดแมลงรบกวนของบริษัท เพสต์บัสเตอร์ ในสิงคโปร์บอกไว้ว่า การพบเห็นแมลงสาบในเวลากลางวัน อาจเป็นปัญหาใหญ่ตามมาได้ เพราะแมลงสาบ 1 ตัวที่เห็น อาจหมายถึงอีกเป็นสิบหรือเป็นฝูงเลยก็ได้ เพราะนิสัยของแมลงสาบนั้นจะออกอาหารในเวลากลางคืน แต่ถ้ามันออกมาเดินเล่นตอนกลางวันภายในรถ นั่นอาจหมายถึงรถของคุณคือรังที่อยู่อาศัยของพวกแมลงสาบก็เป็นได้

     อีกทั้งยังพบสถิติว่าตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ชาวสิงคโปร์ 5-10% เรียกใช้บริการบริษัทกำจัดแมลง เนื่องจากพบแมลงสาบเข้าไปอาศัยในรถจำนวนมาก
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

รู้ยัง! เปลี่ยนแผ่นพลาสติกในแผงประตูเสริมความเงียบได้

เสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร สามารถเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะเป็นรถใหม่ หรือรถเก่า ซึ่งส่วนใหญ่หากเป็นรถใหม่ สาเหตุที่เกิดขึ้นอาจเป็นเพราะวัสดุที่นำมาผลิตรถยนต์ถูกลดต้นทุนลงไป จึงทำให้เกิดเสียงรบกวนขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก มีเสียงเพียงแค่นิดหน่อยเท่านั้น หากซีเรียสมากๆ ก็จัดการแดมป์เก็บเสียงไปเลย

     แต่สำหรับรถเก่าที่มีอายุอานามประมาณ 10 ปีขึ้นไป บางอย่างอาจเสื่อมสภาพ จนทำให้มีเสียงรบกวนเข้ามาภายในห้องโดยสารมากมาย ขับแรงขับเบาก็มีเสียงรบกวนดังตลอดเวลา ลองมาแก้ปัญหาด้วยการ เปลี่ยนแผ่นพลาสติกในแผงประตู เสริมความเงียบ กันดีกว่า ซึ่งวิธีการทำก็ง่ายๆ คุณสามารถทำเองได้ ส่วนอุปกรณ์ที่ต้องเตรียมก็ไม่มีอะไรยุ่งยาก สามารถหาซื้อได้ทั่วไป



     อุปกรณ์

1. กรรไกร และคัตเตอร์
2. ไขควง
3. กาวยาง
4. พลาสติกใส 1x1.5 เมตร 2 หรือ 4 แผ่น (สำหรับรถ 2 หรือ 4 ประตู)
5. พลาสติกกันกระแทก 1x1.5 เมตร 2 หรือ 4 แผ่น (สำหรับรถ 2 หรือ 4 ประตู)

     



     วิธีเปลี่ยนแผ่นพลาสติกในแผงประตู

1. ขันน็อตที่แผงประตูออกทั้งหมด และยกแผงประตูออกมาเก็บไว้ (ดูจุดขันน็อตแผงประตูที่คู่มือประจำรถรุ่นนั้นๆ)
2. แกะแผ่นพลาสติกอันเก่าที่แผงประตูออกมา และทำความสะอาดคราบกาวอันเก่าให้เรียบร้อย
3. นำกาวยางมาทาที่แผงประตู เน้นบริเวณที่เป็นขอบประตู หรือรอยกาวอันเก่า จากนั้นนำพลาสติกใสแปะเข้าไป จัดวางองศาให้ดี และอย่าลืมเจาะรูเผื่อไว้สำหรับต่อสวิทช์กระจกไฟฟ้าด้วย
4. ให้ทากาวยางที่พลาสติกใสอีกครั้งตามรอยเดิม เสร็จแล้วจึงติดพลาสติกกันกระแทกเข้าไปเสริมอีกชั้นหนึ่ง
5. ปล่อยทิ้งไว้สักครู่ และตรวจเช็กอีกครั้ง จากนั้นจึงค่อยประกอบแผงประตูกลับเข้าที่เดิมให้เรียบร้อย

     เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเสร็จเรียบร้อย ภายในห้องโดยสารของคุณจะเงียบมากขึ้น สามารถลดเสียงลม และเสียงรบกวนได้มากโข แถมยังใช้เงินในการทำไม่เยอะ และเสียเวลาไม่มากอีกด้วย
Install by khemtat-l[at]hotmail.com

TOP

กลับไปยังรายบอร์ด
Image Hosted by CompGamer Image Host Image Hosted by CompGamer Image Host