เก้าอี้ทำงาน เลือกอย่างไรให้ไกลจากออฟฟิศซินโดรม?

h.rina

สำหรับชาวมนุษย์ออฟฟิศแล้วอาการปวดคอ หลัง หรือ ขา เป็นสิ่งที่หลายคนกำลังเผชิญ เพราะในแต่ละวันเราต้องนั่งทำงานกันนานถึง 8 ชั่วโมงโดยไม่ได้ปรับอิริยาบถ แม้หลายคนจะคิดว่าอาการที่เกิดขึ้นเหล่านี้ไม่อันตราย ไปเข้าร้านนวดคลายกล้ามเนื้อแป๊บเดียวเดี๋ยวก็หาย แต่ความจริงแล้วหากปล่อยไว้นานๆ อาจส่งผลเรื้อรังและทำให้อาการรุนแรงจนอาจถึงขั้นหมอนรองกระดูกเสื่อมได้ ซึ่งนอกจากท่านั่งที่มีผลทำให้เกิดอาการออฟฟิศซินโดรมแล้ว เก้าอี้ทำงานก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ โดยเก้าอี้ทำงานที่ดีจะต้องเหมาะสมกับสรีระของผู้นั่ง โดยวันนี้เรามีวิธีการเลือกเก้าอี้ทำงานมาฝาก มาดูกันเลยว่าควรเลือกอย่างไรให้ห่างไกลจากอาการปวดหลัง



1. วัสดุของเบาะ

สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อเก้าอี้ทำงานนั้น การเลือกวัสดุของเบาะก็เป็นอีกหนึ่งที่สำคัญ โดยควรเลือกเบาที่ใช้วัสดุฟองน้ำประเภท Memory Foam ที่นิยมนำไปใช้ทำเตียงราคาสูง เนื่องจากฟองน้ำประเภทนี้มีคุณสมบัติช่วยป้องกันการกดทับของเส้นเลือดที่ขา ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น แม้จะต้องนั่งทำงานเป็นระยะเวลานานๆ แม้จะมีราคาที่ค่อนข้างสูง แต่รับรองว่าคุ้มค่าอย่างแน่นอน

2. สามารถปรับอิริยาบถได้

การนั่งหลังตรงนานๆ คงไม่ใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน เพราะอาจทำให้กระดูกสันหลังของคุณเสื่อมสภาพเร็วขึ้นได้ ดังนั้น ควรเลือกเก้าอี้ทำงานที่สามารถปรับเปลี่ยนอิริยาบถในการนั่งได้ เช่น มีคุณสมบัติสามารถปรับเอนได้ หรือสามารถหมุนโยกได้

3. ความสูงของเก้าอี้

เก้าอี้ทำงานที่ดีนั้นควรมีความสูงเท่ากับช่วงยาวของขาบริเวณข้อพับหลังเข่าไปำถึงเท้า ซึ่งเมื่อนั่งทำงานแล้วเท้าจะราบไปกับพื้นพอดี ดังนั้น การเลือกเก้าอี้ที่สามารถปรับความลึกของเบาะได้จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เก้านี้ที่เรานั่งสามารถรองรับสรีระของเราได้แบบพอดี

4. พนักพิงหลัง

อีกหนึ่งสิ่งสำคัญสำหรับการเลือกเก้าอี้ทำงานคือพนักพิงหลังที่สามารถรองรับแผ่นหลังได้แบบพอดี โดยควรมีมุมเอนระหว่าง 110-130 องศา และมีความสูงถึงระดับไหล่ รวมถึงเบาะจะต้องโค้งนูนและเว้าเข้ากับส่วนหลังได้พอดี

ทั้งนี้ นอกจากการเลือกเก้าอี้ทำงานแล้ว การปรับท่านั่งให้ถูกต้องก็เป็นสิ่งที่สำคัญ โดยควรนั่งหลังตรงให้หลังชิดพนักพิงของเก้าอี้ และวางเท้าลงบนพื้นให้ขาทำมุม 90 องศา นอกจากนี้ ควรปรับอิริยาบถด้วยการเปลี่ยนท่าทางการทำงานทุก 20 นาที โดยอาจบิดเส้นบิดสาย ลุกขึ้นเดิน หรือยืดเหยียดกล้ามเนื้อมือและแขนทุก 1 ชั่วโมงด้วย นอกจากนี้ ควรหาเวลาออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีและทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น