Board logo

ชื่อกระทู้: สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้ [สั่งพิมพ์]

ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 4/7/2012 18:29     ชื่อกระทู้: สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส ติดแบล็คลิสก็จัดได้

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14/3/2019 09:24 โดย d-credit

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10/10/2018 13:49 โดย d-credit

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17/7/2018 13:08 โดย d-credit

สินเชื่อรถแลกเงิน ฟรีค่าจัด รถไม่ต้องจอด ปิดเล่มพร้อมรับส่วนลดดอกเบี้ย 50%
รับรถบ้าน เก๋ง กระบะ รถตู้ รถบรรทุก รวมถึงรถตู้ป้ายเหลือง
สำหรับสินเชื่อรถยนต์ให้วงเงินสูง

คุณสมบัติของผู้สมัคร

  - สมัครง่าย ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือผู้ค้ำประกัน
  - ผ่อนนาน 12-72 เดือน
  - อายุ 20- 60 ปี
  - สัญชาติไทย

เอกสาร
1. สำเนาบัตรประชาชน
2. สำเนาทะเบียนบ้าน
3. สำเนาบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน
4. สลิบเงินเดือน(เดือนล่าสุด)หรือ หนังสือรับรองเงินเดือนก็ได้
5. สำเนาทะเบียนรถ
6. แผนที่บ้าน และ ที่ทำงาน

เอกสารครบ รู้ผลเลย รับเงิน ภายใน 3-7 วันทำการ

สนใจสมัคร คลิกที่นี่

https://www.d-credit.com

LINE ID : d-credit
0832996658
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 9/7/2012 16:26

เปลี่ยนเลน-แซง-ขึ้นทางตรงได้แล้ว ควรเร่งความเร็วเพิ่ม
      
       การเลี้ยวขึ้นทางตรงจากซอยหรือทางโท รวมถึงการเปลี่ยนเลน ควรกระทำเมื่อเส้นทางว่างพอ เมื่อเปลี่ยนเข้าสู่เลนที่ต้องการได้แล้ว
บางคนไม่สนใจมารยาทต่อผู้ขับรถยนต์คันที่ตามมา เพราะคิดแต่เพียงว่า ถ้าถูกชนด้านท้ายแล้วจะไม่ผิด เนื่องจากเข้าสู่เส้นทางได้เต็มคันแล้ว
ด้านมารยาท เมื่อเข้าสู่เส้นทางได้เต็มคันแล้ว ควรเร่งความเร็วมาก ๆ กดคันเร่งหนัก ๆ เพื่อไล่รถยนต์คันหน้าในระยะที่เหมาะสมให้เร็วที่สุด
โดยไม่ต้องสนใจว่า รถยนต์คันหลังห่างแค่ไหน เพื่อมารยาท ผู้ขับรถยนต์คันหลังจะได้ไม่ต้องเบรกจนตัวโก่ง
และไม่เสี่ยงต่อการเสียโฉมของบั้นท้ายรถยนต์ของตนเองด้วย
      
       ไฟเหลือง ควรเร่งหนีหรือเบรก ?
      
       หลักการที่ถูกต้องและเป็นสากลแต่ไม่ค่อยมีปฏิบัติกัน คือ ต้องเบรกและจอดเมื่อเห็นไฟเหลืองก่อนไฟแดง
ผู้ขับรถยนต์ไทยส่วนใหญ่ เมื่อเห็นไฟเหลือง กลับกลายเป็นไฟเตือนให้เร่งหนีการติดไฟแดง ซึ่งไม่ถูกต้องนักเพราะ
การที่ไฟเหลืองสว่างขึ้นก่อนจังหวะไฟแดงตามหลักการจริงเป็นการเตือนเพื่อให้ชะลอความเร็วลงและจอด
และควรเหลือบมองกระจกหลังไว้หน่อย เพื่อจะได้ตัดสินใจกดแป้นเบรกด้วยน้ำหนักและจังหวะที่เหมาะสม เพื่อมารยาท
ผู้ขับรถยนต์คันหลังไม่ต้องเบรกจนตัวโก่งและไม่เสี่ยงต่อการเสียโฉมของบั้นท้าย รถยนต์ของตน
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 16/7/2012 11:27

ไฟเลี้ยว ต้องเปิด-ปิดอย่างเหมาะสม
      
       ถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่ถูกมองข้าม การเปิดไฟเลี้ยวเป็นเรื่องจำเป็น เพราะกฎหมายกำหนดให้มีการเตือน
ผู้ร่วมทางล่วงหน้าตามระยะที่เหมาะสม จึงควรเปิดไฟเลี้ยวเมื่อเตรียมเปลี่ยนเลนหรือเลี้ยวล่วงหน้าพอสมควร
และไม่ควรเปิดค้างจนลืม
      
       ชิดซ้ายเสมอ
      
       บนถนนหลายเลนมักมีการเตือนวา "ขับช้า ชิดซ้าย" ซึ่งไม่ค่อยตรงกับหลักการขับปลอดภัย
และมารยาทในการใช้ถนนเพราะจะมีรถยนต์แล่นเลนขวาตลอด โดยคิดว่าความเร็วที่ใช้ในขณะนั้นถือว่าเร็วแล้ว
ซึ่งอาจเป็นเพราะกฎหมายไทยกำหนดให้ใช้ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เมื่อใช้ความเร็วเกินขึ้นไปแล้ว ก็มักจะคิดไปเองว่า เร็วพออยู่แล้ว จึงสามารถแล่นชิดขวาได้
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 23/7/2012 17:35

“จัมพ์แบต”เรื่องง่ายๆที่ทำ(ไม่)ยาก

ขั้นตอนที่ 1 ต่อหัวสายพ่วงสีแดงเข้ากับขั้วบวกแบตเตอรี่ที่ไม่มีไฟ

       เวลาขับรถบนท้องถนน ความปลอดภัยในการเดินทางเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด แต่บ่อยครั้งก็มักเกิดปัญหาไม่คาดคิดโดยเฉพาะปัญหาแบตเตอรี่หมด ที่ทำให้ระบบเครื่องยนต์หยุดชะงัก และเป็นปัญหาที่ต้องรีบแก้ไขเฉพาะหน้า ด้วยวิธีการต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ หรือที่เรียกกันติดปากว่า “จัมพ์แบตเตอรี่” เพื่อให้เกิดกำลังไฟเพียงพอที่จะทำให้ระบบต่างๆ ของเครื่องยนต์ทำงาน และสามารถเดินรถต่อไปได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 30/7/2012 16:12

ขั้นตอนที่ 2 ต่อหัวสายพ่วงสีแดงอีกด้านเข้ากับขั้วบวกแบตเตอรี่รถที่มีไฟ

       นายประกาสิทธิ์ พรประภา กรรมการ บริษัท สยามยีเอส แบตเตอรี่ จำกัด และบริษัท สยามยีเอสเซลส์ จำกัด
ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ “GS แบตเตอรี่” ให้คำแนะนำว่าปัญหาของแบตเตอรี่
หมดระหว่างการขับรถบนท้องถนนอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งสายต่อไดชาร์จหลวม น้ำกลั่นหมด แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ
หรือกำลังไฟของแบตเตอรี่มีไม่เพียงพอ การจัมพ์แบตเตอรี่เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
โดยจะต้องมีสายพ่วงแบตเตอรี่เป็นอุปกรณ์เสริม และต่อสายพ่วงกับรถยนต์อีกคันหนึ่งในการชาร์จไฟ
เพื่อให้ระบบได้ทำงาน หลังจากนั้นจึงนำรถยนต์ไปเปลี่ยนแบตเตอรี่
และเช็คสภาพความพร้อมของเครื่องยนต์จากช่างผู้เชี่ยวชาญอีกครั้งหนึ่ง
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 5/8/2012 12:33

ขั้นตอนที่ 3 ต่อหัวสายพ่วงสีดำหรือเขียวเข้ากับขั้วลบแบตเตอรี่ที่มีไฟ

       “การจัมพ์แบตเตอรี่สามารถทำได้เอง แต่ต้องระมัดระวัง เพราะแบตเตอรี่
มีส่วนประกอบหลัก คือ น้ำกรดที่มีคุณสมบัติเป็นตัวการกัดกร่อนพื้นผิว
ซึ่งขณะที่แบตเตอรี่กำลังทำงานจะเกิดก๊าซไฮโดรเจนสะสมในตัวแบตเตอรี่
จึงควรระวังในเรื่องประกายไฟ เพราะอาจเกิดอันตรายระหว่างจัมพ์แบตเตอรี่ได้”
      
       **วิธีการ ‘จัมพ์แบตเตอรี่’**
      
       เมื่อแบตเตอรี่หมดให้ปิดสวิตช์กุญแจและอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดของรถ
และขอความช่วยเหลือจากรถยนต์ที่มีแบตเตอรี่ เพื่อต่อสายพ่วงแบตเตอรี่
นำหัวสายพ่วงของสายพ่วงสีแดงซึ่งเป็นสายขั้วบวกมาต่อกับขั้วบวก (+)
ของรถยนต์ที่แบตเตอรี่หมด หลังจากนั้นนำหัวต่ออีกข้างต่อเข้ากับขั้วบวก (+)
ของแบตเตอรี่รถยนต์อีกคัน นำหัวสายพ่วงของสายพ่วงสีเขียวหรือสีดำซึ่งเป็นสายขั้วลบมาต่อกับขั้วลบ (-)
ของแบตเตอรี่รถยนต์อีกคัน ควรตรวจเช็คให้แน่ใจว่าสายพ่วงต่อแน่นหนา
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 10/8/2012 12:25

ขั้นตอนที่ 4 ต่อหัวสายพ่วงสีดำหรือเขียวเข้ากับตัวถังรถคันที่แบตเตอรี่ที่ไม่มีไฟ

       ต่อจากนั้นนำสายหัวต่อที่เหลือต่อเข้ากับส่วนที่เป็นโลหะของเครื่องยนต์
หรือตัวถังรถยนต์ของรถยนต์ที่แบตเตอรี่หมด โดยควรต่อให้ห่างจากแบตเตอรี่มากที่สุด
จากนั้นสตาร์ทเครื่องยนต์คันที่แบตเตอรี่มีไฟ ทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที
แล้วเร่งเครื่องยนต์เล็กน้อยเพื่อให้แบตเตอรี่มีการไหลเวียนของประจุไฟฟ้า
หลังจากนั้น เริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์คันที่แบตเตอรี่หมด
จากนั้นเร่งเครื่องยนต์ประมาณ 1,500 - 2,000 รอบ/นาที
เพื่อเช็คดูว่าประจุไฟเข้าหลังจากการชาร์จหรือไม่
ซึ่งถ้าเครื่องยนต์ไม่ดับแสดงว่าการชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่สำเร็จ
      
       จากนั้นถอดสายพ่วงสีเขียว หรือสายขั้วลบ (-) ออกจากตัวถังรถคันที่แบตเตอรี่หมด
และตามด้วยหัวต่อขั้วลบของแบตเตอรี่ที่มีไฟ จากนั้นจึงถอดสายสีแดงหรือสายขั้วบวก (+)
จากรถคันที่แบตเตอรี่หมด และถอดหัวสายพ่วงจากแบตเตอรี่ที่มีไฟ
ปิดฝาช่องเติมน้ำกลั่นให้ครบทุกช่องและควรสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที
หรือขับรถไปเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจเช็คเครื่องยนต์และเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 16/8/2012 17:48

ขั้นตอนที่ 5 สตาร์ทเครื่องยนต์เริ่มจากรถที่แบตเตอรี่มีไฟก่อน

       **ปลอดภัยเวลา “จัมพ์แบตเตอรี่”**
      
       - ไม่สตาร์ทเครื่องยนต์ระหว่างต่อสายพ่วงแบตเตอรี่
       - เวลาต่อสายพ่วงแบตเตอรี่ อย่าสูบบุหรี่หรือทำสิ่งใดๆ และระวังอย่าให้สายพ่วงแบตเตอรี่สัมผัสกัน
เพราะอาจทำให้เกิดประกายไฟได้
       - ทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ทั้งขั้วบวกและขั้วลบ
โดยใช้น้ำร้อนราดที่ขั้วแบตเตอรี่ทั้ง 2 ขั้ว เพื่อขจัดคราบเกลือที่เกาะติดอยู่
       - ตรวจเช็คกำลังไฟของแบตเตอรี่ก่อน เพราะแบตเตอรี่ขนาด 6 โวลต์
หรือ 24 โวตล์ ไม่สามารถนำมาพ่วงกับแบตเตอรี่ขนาด 12 โวลต์ได้
เพราะอาจทำให้แบตเตอรี่เกิดการระเบิดขึ้นได้
       - ตรวจเช็คสภาพแบตเตอรี่ก่อนทุกครั้ง โดยดูจากที่วัดของแบตเตอรี่
หรือใช้ที่วัดความถ่วงจำเพาะ(HYDROMETER) บริเวณด้านข้างของแบตเตอรี่
ซึ่งสามารถสังเกตได้ง่ายๆ เช่น สีเขียว = ประจุไฟฟ้าเต็ม
สีน้ำตาลหรือสีดำ = ประจุไฟหมด สีเหลือง=แบตเตอรี่หมดอายุการใช้งาน
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 21/8/2012 16:53

ขับรถเที่ยว...สนุกอย่างเดียวไม่พอ

เมืองไทยนั้นถือว่ามีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่ทั่วไปไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติอย่าง
ป่าเขา น้ำตก ทะเล อุทยานแห่งชาติ หรือแหล่งท่องเที่ยวตามโบราณสถานต่างๆ
เรียกได้ว่าเที่ยวกันทั้งปียังไม่หมด และสิ่งสำคัญในการที่เราจะไปให้ถึงจุดหมายนั้นก็คือ
การเดินทางที่มีหลายวิธี ที่นิยมมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น "การขับรถเที่ยว"
เพราะเราสามารถแวะตามทางได้ตลอดทั้งถนนในเมืองไทยก็มีเยอะแยะให้เลือกไป
แต่ที่จะมาแนะนำในครั้งนี้ก็คือเรื่องของวิธีการขับรถเที่ยวที่ถูกต้องและปลอดภัยนั่นเอง
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 28/8/2012 17:01

เพื่อให้การเดินทางไกลไปต่างจังหวัดในช่วงเทศกาลด้วยรถยนต์สวนตัวไม่ว่าจะเป็นการเดินทางท่องเที่ยว
หรือกลับถิ่นฐานเดิมในต่างจังหวัด เป็นไปอย่างราบรื่นและมีความสุข ไม่ต้องมาปวดหัวกับปัญหารถเสียระหว่างการเดินทาง
หรืออาจนำไปสู่อุบัติเหตุได้ ทั้งนี้คุณสามารถป้องกันได้กับการตรวจเช็คด้วยตัวเอง และไม่เสียเวลามากนักก่อนเดินทาง
จะช่วยให้มั่นใจในการขับขี่ หรือหากพบข้อบกพร่องก็สามารถแก้ไขก่อนเดินทาง
      
       ตรวจรถภายนอก
       - ยาง ตรวจความดันลมยาง ดอกยาง และรอยฉีกขาด
       - ตรวจดูว่าขันแน่นดี แต่ก็ไม่แน่นจนเกินไปจนคลายออก ไม่ได้ด้วยตัวเอง
       - รอยรั่วซึม ตรวจดูว่ามีร่องรอยน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก หรือ น้ำรั่วซึมจากใต้ท้องรถ
       - ยางปัดน้ำฝน ทดลองปัดดู
       - ไฟส่องสว่าง ตรวจดูไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเบรก ไฟเลี้ยวหรืออื่นๆรวมทั้งระดับไฟหน้าด้วยว่าเป็นปกติทั้งหมด
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 3/9/2012 19:34

ตรวจภายในรถ
       - ยางอะไหล่และแม่แรง ตรวจเช็คลมยาง และให้แน่ใจว่าแม่แรงและด้ามขันใช้งานได้ตามปกติ
       - เข็มขัดนิรภัย ตรวจเช็คว่าหัวเข็มขัดสามารถล็อคได้เรียบร้อย
       - แตร ให้แน่ใจว่าดังดี
       - แผงควบคุมและอุปกรณ์ ตรวจดูให้แน่ใจว่าทำงานเป็นปกติ และที่ปัดน้ำฝน ปัดได้เรียบร้อยสม่ำเสมอ
       - เบรก เช็คระยะฟรีขาเบรกอยู่ในค่ากำหนดหรือไม่
       - ฟิวส์สำรองที่เตรียมไว้ต้องมีขนาดค่ากระแสใช้ได้ตามที่กำหนดที่แผงฟิวส์
       ตรวจใต้ฝากระโปรงหน้า
       - ระดับน้ำหล่อเย็น ควรจะมีอยู่ถึงระดับสูงสุดในถังพักสำรอง
       - หม้อน้ำและท่อยาง ควรดูว่าด้านหน้าหม้อน้ำหมดจดไม่มีเศษวัสดุ หรือใบไม้ติดอยู่ ดูท่อยางว่ามีรอยแยกเปื่อย มีรอยฉีกขาดหรือหลวม
       - สายพานขับต่างๆ ต้องไม่มีรอยแตก เลอะน้ำมันหล่อลื่น และความตึงสายพานอยู่ในค่ากำหนด
       - แบตเตอรี่และสายไฟ ตรวจดูและเติมน้ำกลั่นให้ได้ระดับที่กำหนดดูเปลือกแบตเตอรี่ว่ามีร่องรอยเสียหายหรือไม่ ดูขั้วต่อและสายไฟว่าอยู่ในสภาพดีหรือไม่
       - ระดับน้ำมันเบรกและคลัชท์ ตรวจดูว่าระดับน้ำมันเบรกและคลัทช์อยู่ในระดับที่ถูกต้อง
       - ท่อน้ำมันเชื้อเพลิง ตรวจดูว่าท่อน้ำมันมีการรั่ว หลุดหรือไม่
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 10/9/2012 12:22

**เตรียมข้อมูลให้พร้อม**
      
       นอกจากการตรวจดูรถให้พร้อมแล้วในการเดินทางท่องเที่ยวนั้นเรายังต้องมีอีกหลายอย่างประกอบไปด้วย
เพื่อให้วันหยุดของคุณเต็มไปด้วยความสนุกสนานและปลอดภัยมากที่สุด
      
       - ต้องตรวจสอบหาข้อมูลของแหล่งท่องเที่ยว ว่าช่วงที่จะไปเป็นฤดูไหน เหมาะกับสถานที่ที่จะไปเที่ยวรึเปล่า
      
       - จัดเตรียมแผนที่ในการเดินทาง ยิ่งช่วงนี้ราคาน้ำมันแสนจะแพง ถ้าจะไปไหนก็ควรสำรวจเส้นทางให้ดี จะได้ไม่หลง
ไม่ต้องขับรถเลยหรืออ้อมให้เปลืองน้ำมัน
      
       - จัดเตรียมสัมภาระการเดินทางให้เรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็น ไฟฉาย ยาสามัญประจำบ้านต่างๆ และของใช้ส่วนตัวที่จำเป็น
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 17/9/2012 12:23

**ขับรถเที่ยวแบบปลอดภัย**
      
       หลังจากที่เราเตรียมความพร้อมของรถยนต์และข้อมูลในการเดินทางแล้ว ก็มาถึงเวลาที่ล้อหมุนได้เลย
ในระหว่างเดินทางเราก็ยังมีเทคนิคในการขับรถง่ายๆมาบอกกันอีกด้วย เพราะถนนใสต่างจังหวัดนั้นเรา
ไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าจะเจออุปสรรคใดๆบ้าง ไม่ว่าจะเป็นสภาพถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อ
หรือถนนที่กำลังซ่อมแซม รวมถึงทัศนะวิสัยในการมอง
      
       - รัดเข็มขัดนิรภัยเสมอ การออกตัว การเร่ง การเบรก และการบังคับเลี้ยว จะต้องสัมพันธ์กัน
โดยค่อยๆ เหยียบคันเร่งเพื่อป้องกันล้อหมุนฟรี เพราะการเร่งแรงและเพิ่มรอบของเครื่องยนต์เร็วเกินไป
อาจจะทำให้ล้อหมุนฟรีได้ หรืออาจเกิดการลื่นไถล เสียสมดุลของรถได้
      
       - เมื่อขึ้นและลงเขาให้ใช้เกียร์ต่ำเพื่อเพิ่มพลังเครื่องยนต์ และอาจช่วยชะลอความเร็วของรถ
ในขณะลงเขาร่วมกับการใช้เบรกอีกด้วย
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 27/9/2012 17:36

- การเบรกก็จะต้องเป็นไปอย่างนุ่มนวล โดยพยายามควบคุมความเร็ว ชะลอความเร็วก่อนถึงสิ่งกีดขวาง
เพื่อหลีกเลี่ยงการเบรกอย่างกะทันหัน อันจะทำให้รถเสียหลัก
      
       - พยายามหลีกเลี่ยงบริเวณที่เป็นทรายหรือโคลน หากจำเป็นต้องลุยผ่านให้ใช้เกียร์ต่ำ
และรักษารอบให้สม่ำเสมอ อย่าเร่งเครื่องเกินความจำเป็นเพราะอาจทำให้ล้อฟรีจมโคลนลึกจนยากแก่การแก้ไข
      
       - หากต้องปีนข้ามหินหรือสะพานไม้แคบที่มีเส้นทางเฉพาะ ควรมีคนลงไปทำหน้าที่บอกทาง
โดยคนบอกทางต้องมีคนเดียว คนขับต้องมองตรงไปข้างหน้าอย่าใช้วิธียื่นหัวออกมานอกตัวรถ
มองสัญญาณมือจากคนบอกทางและค่อยๆ ควบคุมรถไปตามนั้น
      
       - ในการขับข้ามลำธาร หากมองไม่เห็นพื้นดินใต้น้ำ หรือไม่ทราบระดับความลึก
ให้ลงมาใช้ไม้วัดระดับความลึกดูก่อน หากระดับน้ำสูงกว่าท่อกรองอากาศของเครื่องยนต์ไม่ควรขับลุยข้ามไป
เพราะเครื่องยนต์จะดับกลางน้ำได้ ขับข้ามน้ำช้าๆ ด้วยรอบเครื่องยนต์ที่สม่ำเสมอ
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 10/10/2012 18:41

- การขับรถผ่านเส้นทางที่มีก้อนหินหรือเนินดินขวาง พยายามขับให้ล้อปีนข้ามก้อนหินช้าๆ โดยใช้เกียร์ต่ำ
จะช่วยไม่ให้ช่วงล่างกระทบกระแทกหิน ควรหลีกเลี่ยงการขับคร่อมก้อนหิน เพราะอาจทำให้ช่วงล่างกระแทกกับก้อนหินเสียหายได้
      
       - หากไม่แน่ใจต่อเส้นทางข้างหน้า ให้หยุดรถ เดินลงมาสำรวจเส้นทางให้มั่นใจแล้วจึงขับต่อไป
      
       อย่าลืมว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเดินทางก็คือความปลอดภัยและความไม่ประมาทขับรถอย่างมีสติ
เพียงเท่านี้การท่องเที่ยวของคุณก็จะสนุกอย่างไม่มีวันลืมเลย..............
      
       ข้อมูลจาก Goodyear และ ปตท.
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 19/10/2012 12:58

คาถา "โค้งอันตราย"

"เข้าให้ช้า ออกให้เร็ว" เป็นคาถาบทหนึ่งที่ผู้ขับขี่ควรยึดปฏิบัติเพื่อให้การขับขี่ยวดยานของท่านเป็นไป
อย่างถูกต้องมีประสิทธิภาพและปลอดภัย โดยเฉพาะเวลาเข้าโค้ง
      
       อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นแก่นักขับรถอีกประการหนึ่งคือ การขับรถเข้าทางโค้ง
ถนนหนทางแทบทุกเส้นทางทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ในบ้านเราจะต้องมีทางโค้งเสมอ
แต่จะมากหรือน้อยนั้นเป็นเรื่องหนึ่งและทางโค้งเหล่านี้เอง ที่เปรียบเสมือนกับดักบรรดานักซิ่งที่ไม่มีกฎเกณฑ์
หรือไม่มีวิธีการขับรถเข้าโค้งที่ถูกต้อง จึงมีบ่อยครั้งที่พวกนี้มักเอาชีวิตไปทิ้งเสียในทางโค้งเหล่านั้น
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 30/10/2012 16:00

บางครั้งนอกจากชีวิตตนเอง ยังพ่วงชีวิตผู้โดยสารและผู้ใช้ถนนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ให้ต้องพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย ทั้งนี้ไม่นับทรัพย์สินที่เสียหายไปในแต่ละครั้งอีกมากมาย เพราะราคารถยนต์ในปัจจุบันก็แพงแสนแพงอยู่แล้ว



       ถ้าอย่างนั้น นักขับรถควรจะปฏิบัติอย่างไร ? คำตอบก็คือ นักขับรถจำเป็นต้องใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์
เพื่อยึดปฏิบัติในการขับรถเข้าทางโค้ง และหากทำได้ถูกต้องแล้ว นักขับรถทุกท่านก็จะสามารถขับเข้าทางโค้งทุกแห่งในโลกเลยทีเดียว
คือ "เข้าให้ช้าและออกให้เร็ว" ซึ่งต้องท่องให้ขึ้นใจแล้วปฏิบัติดังนี้
      
       เข้าให้ช้า คือเมื่อผู้ขับรถมองเห็นทางโค้งข้างหน้า ต้องประเมินทันทีว่าโค้งที่เห็นนั้น
จะเข้าได้ด้วยความเร็วเท่าใด หากมีป้ายบังคับของกรมทางหลวงติดไว้ก่อนถึงทางโค้ง ก็ให้ปฏิบัติตามป้ายบังคับนั้น
เช่น มีป้ายเตือนให้ใช้ความเร็วเข้าโค้งข้างหน้าด้วยความเร็ว 40 กม./ชม. ถ้าท่านขับรถบรรทุกไม่ว่าจะเป็นหกล้อ สิบล้อ หรือใหญ่กว่านั้นก็ให้ปฏิบัติตามป้าย
      
       แต่ถ้าหากว่ารถท่านเป็นรถปิกอัพหรือรถเก๋ง ท่านอาจจะเพิ่มความเร็วได้อีก 50% หมายความว่าถ้าหากมีป้ายเตือนให้เข้าโค้งที่มีความเร็วไม่เกิน 40 กม./ชม.
ดังตัวอย่างก็ให้ท่านปฎิบัติดังนี้
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 5/11/2012 18:49

สมมติว่าท่านขับมาด้วยความเร็ว 90 กม./ชม. ให้แตะเบรกลดความเร็วให้เหลือ 60 กม./ชม.
นั่นคือเพิ่มเข้าไปอีก 50% ของป้ายบังคับ แล้วเปลี่ยนเกียร์ต่ำลงมารับที่ความเร็ว 60 กม./ชม.
ซึ่งในที่นี้เกียร์ที่เหมาะสมที่สุดคือเกียร์สาม ทั้งนี้ต้องทำให้เสร็จสิ้นเสียก่อนเข้าโค้ง
       เมื่อเปลีี่ยนเกียร์และวัดความเร็วได้ถูกต้องตามทฤษฎีแล้ว ให้ยกเท้าซ้ายออกจากแป้นคลัตช์
และใช้แค่เท้าขวาเหยียบแป้นคันเร่งเท่านั้น ล็อกความเร็วให้คงอยู่ที่ 60 กม./ชม.
และหมุนพวงมาลัยรถให้เข้าตามโค้งไปอย่างราบเรียบ อย่าให้รถเหวี่ยงไปมาเป็นอันขาด เพราะอาจทำให้รถลื่นไถลออกจากโค้งได้
      
       ข้อควรปฎิบัิตปลีกย่อยอื่นๆ ที่จำเป็นในการขับรถทางโค้ง ก็มีอาทิ อย่าเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในโค้ง
เพราะเมื่อถึงปลายโค้ง ความเร็วจะเกินพิกัดที่กะเอาไว้รถอาจหลุดโค้งได้  
อย่าเปลี่ยนเกียร์ขณะอยู่ในโค้ง อย่าเหยียบคลัตช์ อย่าถอนคันเร่งและเหยียบเบรกแรง
เพราะล้วนแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้รถหลุดโค้งทั้งสิ้น
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 13/11/2012 16:31

ออกให้เร็ว
คือ เมื่อรถเข้าโค้งจนแล่นสู่ทางตรงเรียบร้อยแล้ว ให้เร่งความเร็วขึ้นโดยทันทีแล้วเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้น
รถก็จะพุ่งออกจากโค้งด้วยความเร็วและมั่นคง
      
       หากนักขับรถทุกท่านขับรถเข้าโค้งได้ดังนี้ ไม่ว่าจะเข้าโค้งซักร้อยโค้งหรือพันโค้ง
ก็ย่อมผ่านเข้าและจะออกจากโค้งทุกโค้งด้วยความปลอดภัยแน่นอน พึงระลึกไว้เสมอว่าหากท่านเข้าโค้งด้วยความเร็วแล้ว
ส่วนมากจะไม่ค่อยได้ออกจากโค้ง ซึ่งอย่างหลังนี้คงไม่เป็นที่ปรารถนาของนักขับรถสักเท่าไหร่
      
       หากต้องขับรถผ่านเข้าทางโค้งในคราวหน้า อย่าลืมลองปฏิบัติ ตามข้อเตือนใจ "เข้าให้ช้า ออกให้เร็ว"
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 18/11/2012 16:28

เคล็ดลับขับรถปลอดภัยหน้าฝน

หน้าฝนมาถึงแล้ว สำหรับผู้ที่ขับขี่รถยนต์ส่วนตัวในช่วงนี้คงต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น เพราะอาจจะมีอันตรายที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าในฤดูอื่นๆ ไม่ว่าคุณจะต้องสัญจรในเมืองหรือวางแผนเดินทางไปเที่ยวไกลๆ ในช่วงที่อากาศกำลังเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ การขับรถบนถนนที่เปียกลื่นไม่ใช่เรื่องง่าย

จึงขอนำเคล็ดลับที่น่าสนใจมาฝากกัน เพื่อช่วยให้คุณเดินทางไปถึงจุดหมายและกลับบ้านได้อย่างปลอดภัยในช่วงฤดูฝนนี้

- ตรวจสอบรถอย่างละเอียดก่อนออกเดินทาง เบรก พวงมาลัย ระดับของเหลวต่างๆ ปริมาณลมยาง และระบบไล่ฝ้าควรได้รับการตรวจสอบว่าอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานสำหรับการเดินทางที่อาจต้องพบกับฝนที่ตกหนักระหว่างทาง
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 28/11/2012 16:38

- เตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉินที่มีคุณภาพดีให้พร้อม การเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดหมายเอาไว้ล่วงหน้าจะช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการใช้บริการช่วยเหลือฉุกเฉินและช่วยลดความตึงเครียดหากรถเสียระหว่างการเดินทาง อุปกรณ์ช่วยเหลือต่างๆ ควรตอบสนองต่อความต้องการของผู้ขับขี่แต่ละคน ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วควรประกอบไปด้วย ยางอะไหล่ ไฟฉาย ฟิวส์ ที่สูบลม น้ำสะอาด อุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้น และป้ายสัญญาณขอความช่วยเหลือที่มองเห็นเด่นชัด

- ตรวจสอบที่ปัดน้ำฝนให้อยู่ในสภาพดีและพร้อมใช้งาน หากใบปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพหรือชำรุด ควรเปลี่ยนใหม่ทันทีเพื่อทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ดีในขณะฝนตก
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 3/12/2012 15:47

- ขับอย่างระมัดระวัง! ใส่ใจในการขับขี่และรักษาระดับความเร็วให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมอยู่เสมอ การขับรถด้วยความเร็วสูงเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนที่น้ำฝนอาจก่อตัวเป็นแผ่นน้ำบางๆ คั่นกลางระหว่างล้อและถนน ทำให้ความสามารถในการยึดเกาะถนนลดลง ผู้ขับขี่จึงควบคุมรถได้ยากขึ้น

- เปิดไฟหน้ารถขณะฝนตก เมื่อต้องขับรถในขณะฝนตกให้เปิดไฟหน้ารถเสมอ เพราะนอกจากจะช่วยให้คุณมองเห็นสิ่งต่างๆ บนถนนได้ชัดเจนขึ้นแล้ว ยังช่วยให้รถคันอื่นๆ มองเห็นคุณได้จากระยะไกลด้วย

- หลีกเลี่ยงการเหยียบเบรกแรงๆ หรือการเบรกกระทันหัน การค่อยๆ เหยียบเบรกเพื่อชะลอความเร็วลงนับว่าเป็นวิธีการขับขี่ที่เหมาะสมที่สุด เพราะหากคุณเหยียบเบรกอย่างรุนแรง รถอาจลื่นไถลได้
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 9/12/2012 15:12

- ขับรถอย่างมีสติและเว้นระยะห่างที่ปลอดภัยจากรถคันข้างหน้า ในยามที่ถนนเปียก คุณจะต้องใช้เวลา
และระยะทางในการเบรกเพิ่มขึ้นเมื่อประสบกับสถานการณ์ฉุกเฉิน การขับรถด้วยความระมัดระวังและ
ไม่ขับตามหลังรถโดยสารขนาดใหญ่หรือรถบรรทุกจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยยิ่งขึ้น
เพราะล้อด้านหลังของรถขนาดใหญ่มักจะปัดละอองน้ำมาใส่รถคันข้างหลัง จนอาจทำให้เสียทัศนวิสัยในการขับขี่ได้

- หลีกเลี่ยงแอ่งน้ำลึก คุณไม่มีทางทราบได้เลยว่าภายใต้ผิวน้ำนั้นมีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง
ถ้าคุณขับลงไปยังแอ่งน้ำด้วยความเร็วสูง กันชนหน้าและหม้อน้ำอาจจะถูกกระแทกจนได้รับความเสียหายร้ายแรง
หรือถ้าคลื่นน้ำซัดเข้ามาในห้องเครื่องก็อาจจะทำให้เครื่องยนต์ดับได้
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 13/12/2012 15:27

- ตื่นตัวกับสัญญาญเตือนให้หยุดรถหรืออุปสรรคที่ขวางอยู่บนถนน หากพบว่าถนนข้างหน้ามีน้ำท่วมขัง
พยายามอย่าขับรถฝ่าไป โดยเฉพาะในพื้นที่ที่คุณไม่คุ้นเคย ให้มองหาเส้นทางใหม่ที่ปลอดภัยกว่า

- ขับช้าๆ เมื่อต้องฝ่าน้ำท่วม หากคุณจำเป็นต้องขับฝ่าน้ำที่ท่วมขังบนพื้นถนนนิ่งๆ ให้ขับไปอย่างช้าๆ
อย่าขับรถฝ่าน้ำที่กำลังไหลอยู่หากคุณไม่ทราบว่าแอ่งน้ำนั้นลึกขนาดไหน หยุดรถก่อนที่จะถึงบริเวณน้ำท่วมและตรวจสอบความลึกของน้ำ
ซึ่งโดยทั่วไป หากระดับน้ำสูงกว่าขอบประตูรถหรือสูงกว่า 1 ใน 3 ของล้อเมื่อวัดจากพื้นถนน คุณไม่ควรขับฝ่าไปอย่างเด็ดขาด

- เมื่อรถติดหล่ม ให้เปลี่ยนมาใช้เกียร์ 1 หรือเกียร์ 2 และเร่งเครื่องช้าๆ อย่าเร่งเครื่องแรงจนทำให้ล้อหมุนฟรี
เพราะจะทำให้รถของคุณจมลึกลงไปอีก
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 7/1/2013 15:22

การเปลี่ยนเกียร์ต่ำกะทันหันขณะฝนตกเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่ง ขณะที่พื้นถนนเปียก
การเปลี่ยนเกียร์อย่างรวดเร็วซึ่งส่งผลกระทบต่อความเร็วของล้อและยางอาจทำให้รถของคุณลื่นไหล
คุณอาจสูญเสียการควบคุมรถและก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ผู้ขับขี่ควรใช้ความระมัดเพิ่มขึ้นเมื่อต้องการเปลี่ยนมาใช้เกียร์ต่ำขณะขับบนถนนลื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อต้องขับรถขึ้นเนินที่มีความลาดชัน
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 11/1/2013 12:31

รถล้นกรุง-ป้ายทะเบียนเปลี่ยน

  ถึงวันนี้คำว่า“รถติด”อาจจะยังน้อยไป เมื่อเทียบกับสถานการณ์จริงที่ถนนทุกสายดูจะแออัดยัดแน่น
เต็มทุกช่วงเวลายิ่งวันไหนโดนฝนเทถล่มลงมาจมถนน เมืองกรุงก็หนีไม่พ้นมหาวินาศ
จากโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรก ส่งผลโดยตรงกับประชากรรถใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หรือถ้าดูจากสถิติของกรมการขนส่งทางบกที่ระบุว่า ทุกวันนี้มีรถยนต์ที่จดทะเบียนในเขตกรุงเทพมหานครมากกว่า 2,000 คันต่อวัน
หรือเพิ่มขึ้นเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
      
       ….เรียกว่าขายรถกันจนผลิตแผ่นป้ายทะเบียนไม่ทัน ทั้งป้ายขาว,ป้ายแดง ขาดตลาด!!!
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 15/1/2013 10:39

สำหรับประเด็นป้ายทะเบียนไม่พอกับปริมาณรถใหม่นั้นมีปัญหามาสักระยะแล้ว แต่ล่าสุดเห็นว่ากรมการขนส่งทางบกแก้ปัญหาได้เรียบร้อย
ที่สำคัญตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไปป้ายทะเบียนเวอร์ชันเดิม ที่ใช้อักษรนำหน้าตัวเลขจะหมดลงที่โหมด “ฆฮ” (กรุงเทพมหานคร)
      
       ดังนั้นใครกำลังถอยรถออกจากโชว์รูมช่วงนี้ คงได้ป้ายเวอร์ชันใหม่ที่จะเริ่มด้วยตัวเลข ตามด้วยตัวอักษรสองตัว และปิดท้ายด้วยตัวเลข
กล่าวคือจะเริ่มจาก 1 กก 1 เรียงตามลำดับจนถึง 1 กก 9999 และเริ่ม 1 กข 1 ถึง 1 กข 9999 เรื่อยไปจนถึง 1 กฮ 9999
จากนั้นเมื่อหมดชุดนี้จะขึ้นเป็นเลข 2 ถึง 9 นําหน้าหมวดตัวอักษรไปเรื่อยๆ
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 29/1/2013 19:38

สำหรับแผ่นป้ายทะเบียนรถรูปแบบใหม่มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะ และรูปแบบของแผ่นป้ายทะเบียนรถจากรูปแบบเดิมเล็กน้อย
แต่จะมีขนาดของแผ่นป้ายเท่าเดิม คือ กว้าง 15 ซ.ม. ยาว 34 ซ.ม. และ มีตัวอักษร ขส อยู่ภายในวงกลมมุมล่างขวา
โดยแบ่งเป็นสองบรรทัด สำหรับตัวเลขและตัวอักษรจะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิม และมีคุณลักษณะเฉพาะลายเส้นคู่เป็นรูปคลื่นภาพ 3 มิติ
สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าอย่างชัดเจน พร้อมเป็นการป้องกันการปลอมแปลงไปในตัว
      
       โดยอธิบดีกรมการขนส่งทางบก “สมชัย ศิริวัฒนโชค” ออกตัวว่า ป้ายทะเบียนรูปแบบนี้จะรองรับปริมาณรถใหม่ได้ถึง 56 ล้านคัน
หรือนานกว่า 157 ปีเลยทีเดียว
      
       ...นี่ก็ถือเป็นเรื่องวุ่นของคนกรุงเทพมหานครที่ออกรถยนต์กันจนล้นเมือง และจำต้องเปลี่ยนป้ายทะเบียนเป็นแบบใหม่
เพราะจะว่าไปจังหวัดอื่นๆโหมดอักษรยังวิ่งไปไม่ถึงไหนเลย
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 4/3/2013 19:35

จีเอ็มจับมือนาซ่า พัฒนาถุงมือสุดไฮเทค

เจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) จับมือ องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ (นาซ่า)
ร่วมกันพัฒนาถุงมือล้ำเทคโนโลยีที่ต่อยอดจากที่ใช้กับหุ่นยนต์ เตรียมนำมาใช้กับคนที่ทำงานในศูนย์การผลิตยานยนต์จีเอ็ม
และนักบินอวกาศในสถานีอวกาศ เพื่อให้การทำงานด้วยมือมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และลดความเครียดเมื่อต้องทำงานซ้ำๆ กันเป็นเวลานาน

ถุงมือดังกล่าวคือ อุปกรณ์ช่วยการหยิบจับสำหรับมนุษย์ (Human Grasp Device) หรือที่จีเอ็มและนาซ่า
เรียกกันภายในองค์กรว่า เค-โกลฟ หรือ โรโบโกลฟ ซึ่งเกิดจากโครงการโรโบนอท 2 หรืออาร์ 2 ซึ่งจีเอ็มและนาซ่า
ร่วมกันพัฒนาและส่งหุ่นยนต์เสมือนมนุษย์ขึ้นไปทำงานบนสถานีอวกาศนานาชาติเป็นการถาวร ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้น
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 10/3/2013 13:42

โจทย์สำคัญสำหรับการพัฒนาหุ่นอาร์ 2 ของจีเอ็มและนาซ่า คือการออกแบบให้หุ่นยนต์นั้นมีการเคลื่อนไหวเหมือนมนุษย์
เพื่อช่วยนักบินอวกาศในการทำงานในห้วงอวกาศ และช่วยเหลือพนักงานในโรงงานต่างๆ ซึ่งทีมออกแบบหุ่นอาร์ 2 ประสบความสำเร็จในการพัฒนาการเคลื่อนไหวของมือ ด้วยการใช้เซ็นเซอร์ขั้นสูง ชุดขับเคลื่อน และชุดเส้นสาย ที่เปรียบเหมือนเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ
และเส้นประสาทของมือมนุษย์

ผลวิจัยระบุว่า การเคลื่อนไหวหยิบจับเครื่องมืออย่างต่อเนื่องทำให้กล้ามเนื้อมือเมื่อยล้าได้ในไม่เพียงกี่นาที
แต่หากสวมถุงมือโรโบโกลฟนี้แล้ว ผลการทดสอบชี้ว่า สามารถหยิบจับได้นานขึ้น และสะดวกสบายกว่าเดิม
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 17/3/2013 17:10

"เมื่อพัฒนาเต็มรูปแบบแล้ว โรโบโกลฟ จะช่วยลดการออกแรงหยิบเครื่องมือของพนักงานในสายการผลิตลงได้
สำหรับการทำงานเป็นระยะเวลานาน และเคลื่อนไหวซ้ำๆ ผลลัพธ์ที่ได้คือ การลดความเสี่ยงของอาการบาดเจ็บลงได้
" นายดานา โคมิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมการผลิตของจีเอ็ม กล่าว

นักบินอวกาศ ซึ่งจะต้องสวมชุดควบคุมความดันขณะทำงานอยู่ในห้วงอวกาศ
หรือพนักงานในศูนย์การผลิตอาจจะต้องออกแรง 15-20 ปอนด์ ในการถือเครื่องมือแต่เมื่อสวมถุงมือโรโบโกลฟแล้ว
พวกเขาจะออกแรงเพียง 5-10 ปอนด์เท่านั้น

นายทริช พีทีท หัวหน้าฝ่ายนักบินอวกาศ และระบบความร้อนของศูนย์อวกาศจอห์นสันของนาซ่า กล่าวว่า
"ถุงมือดังกล่าวนี้ เอื้อต่อการคิดค้นอะไรใหม่ๆ และท้าทายต่อความคิดเดิมๆ ที่ว่ามือมนุษย์ทั่วไปนั่นมีความสามารถจำกัด"
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 25/3/2013 17:01

นายทริช พีทีท หัวหน้าฝ่ายนักบินอวกาศ และระบบความร้อนของศูนย์อวกาศจอห์นสันของนาซ่า
กล่าวว่า "ถุงมือดังกล่าวนี้ เอื้อต่อการคิดค้นอะไรใหม่ๆ และท้าทายต่อความคิดเดิมๆ ที่ว่ามือมนุษย์ทั่วไปนั่นมีความสามารถจำกัด"
ชุดขับเคลื่อนอันก้าวล้ำที่ติดตั้งอยู่บริเวณส่วนบนของถุงมือนั้น ได้รับแรงบันดาลใจมาจากชุดขับเคลื่อนของหุ่นยนต์อาร์ 2
โดยมีหน้าที่ช่วยเหลือการเคลื่อนไหวของนิ้วมือ ขณะที่ตัวเซ็นเซอร์นั้นมีความคล้ายคลึงกับของอาร์ 2 ที่ตรวจจับการสัมผัสที่ปลายนิ้ว
ก่อนที่ตัวเส้นสายนั้นจะคอยดึงเหมือนเส้นเอ็น สั่งงานให้นิ้วกำยึดสิ่งของดังกล่าวไว้
      
       ก่อนหน้านี้ จีเอ็ม และนาซ่า จดสิทธิบัตรหุ่นยนต์อาร์ 2 ไว้ทั้งหมด 46 ฉบับ ซึ่งรวมถึงสิทธิบัตร 21 ฉบับ
สำหรับมืออาร์ 2 และ 4 ฉบับสำหรับโรโบโกลฟ โดยเฉพาะ
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 16/5/2013 09:38

ข่าวดี ช่วงนี้กรุงศรี คาร์ฟอแคช จัดดอกเบี้ยใหม่ รับเปิดเทอมด้วยดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 3.24 ทุกยี่ห้อครับ

เริ่มตั้งแต่ พฤษภาคม 2556 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง จากทาง กรุงศรี
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 16/6/2013 11:47

เคล็ดลับขับรถเที่ยวหน้าฝน

  หน้าฝนมาถึงแล้ว สำหรับผู้ที่ขับขี่รถยนต์ส่วนตัวในช่วงนี้คงต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น
เพราะอาจจะมีอันตรายที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าในฤดูอื่น ไม่ว่าการสัญจรในเมืองหรือการเดินทางไปเที่ยวไกลๆ
ในช่วงที่อากาศกำลังเปลี่ยนแปลงบ่อย การขับรถบนถนนที่เปียกลื่นไม่ใช่เรื่องง่าย และนี่คือเคล็ดลับที่น่าสนใจ
เพื่อช่วยให้การเดินทางไปถึงจุดหมายและกลับบ้านได้อย่างปลอดภัยในช่วงฤดูฝนนี้

1.ตรวจสอบสภาพรถอย่างละเอียดก่อนออกเดินทาง เบรก พวงมาลัย ระดับของเหลวต่างๆ ปริมาณลมยาง
และระบบไล่ฝ้าควรได้รับการตรวจสอบว่าอยู่ในสภาพพร้อมใช้งานสำหรับการเดินทางที่อาจต้องพบกับฝนที่ตกหนักระหว่างทาง
      
       2.เตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉินที่มีคุณภาพดีให้พร้อม การเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดหมายเอาไว้ล่วงหน้า
จะช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการใช้บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน และช่วยลดความตึงเครียดหากรถเสียระหว่างการเดินทาง
อุปกรณ์ช่วยเหลือต่างๆ ควรตอบสนองต่อความต้องการของผู้ขับขี่แต่ละคน ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วควรประกอบไปด้วย
ยางอะไหล่ ไฟฉาย ฟิวส์ ที่สูบลม น้ำสะอาด อุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้น และป้ายสัญญาณขอความช่วยเหลือที่มองเห็นเด่นชัด
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 11/7/2013 17:37

3.ตรวจสอบที่ปัดน้ำฝนให้อยู่ในสภาพดีและพร้อมใช้งาน หากใบปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพหรือชำรุด ควรเปลี่ยนใหม่ทันทีเพื่อทัศนวิสัยในการขับขี่ที่ดีในขณะฝนตก

4.ขับอย่างระมัดระวัง! ใส่ใจในการขับขี่และรักษาระดับความเร็วให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมอยู่เสมอ การขับรถด้วยความเร็วสูงเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนที่น้ำฝนอาจก่อตัวเป็นแผ่นน้ำบางๆ คั่นกลางระหว่างล้อและถนน ทำให้ความสามารถในการยึดเกาะถนนลดลง ผู้ขับขี่จึงควบคุมรถได้ยากขึ้น

5.เปิดไฟหน้ารถขณะฝนตก เมื่อต้องขับรถในขณะฝนตกให้เปิดไฟหน้ารถเสมอ เพราะนอกจากจะช่วยให้มองเห็นสิ่งต่างๆ บนถนนได้ชัดเจนขึ้นแล้ว ยังช่วยให้รถคันอื่นมองเห็นรถผู้ขับได้จากระยะไกลด้วย

6.หลีกเลี่ยงการเหยียบเบรกแรงๆ หรือการเบรกกระทันหัน การค่อยๆ ทิ้งน้ำหนักเหยียบเบรกเพื่อชะลอความเร็วลงนับว่าเป็นวิธีการขับขี่ที่เหมาะสมที่สุด เพราะหากเหยียบเบรกอย่างรุนแรง รถอาจลื่นไถลได้
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 18/7/2013 17:16

7.ขับรถอย่างมีสติและเว้นระยะห่างที่ปลอดภัยจากรถคันข้างหน้า ในยามที่ถนนเปียกจะต้องใช้เวลาและระยะทางในการเบรกเพิ่มขึ้น เมื่อประสบกับสถานการณ์ฉุกเฉิน การขับรถด้วยความระมัดระวังและไม่ขับตามหลังรถโดยสารขนาดใหญ่หรือรถบรรทุกจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยยิ่งขึ้น เพราะล้อด้านหลังของรถขนาดใหญ่มักจะปัดละอองน้ำมาใส่รถคันข้างหลัง จนอาจทำให้เสียทัศนวิสัยในการขับขี่ได้
      
       8.หลีกเลี่ยงแอ่งน้ำลึก ผู้ขับรถไม่มีทางทราบได้เลยว่าภายใต้ผิวน้ำนั้นมีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าหากขับลงไปยังแอ่งน้ำด้วยความเร็วสูง กันชนหน้าและหม้อน้ำอาจจะถูกกระแทกจนได้รับความเสียหายร้ายแรง หรือถ้าคลื่นน้ำซัดเข้ามาในห้องเครื่องก็อาจจะทำให้เครื่องยนต์ดับได้
      
       9.ตื่นตัวกับสัญญาญเตือนให้หยุดรถหรืออุปสรรคที่ขวางอยู่บนถนน หากพบว่าถนนข้างหน้ามีน้ำท่วมขัง พยายามอย่าขับรถฝ่าไป โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย ให้มองหาเส้นทางใหม่ที่ปลอดภัยกว่า
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 23/7/2013 17:11

10.ขับช้าๆ เมื่อต้องฝ่าน้ำท่วม หากจำเป็นต้องขับฝ่าน้ำที่ท่วมขังบนพื้นถนน ให้ขับไปอย่างช้าๆ
อย่าขับรถฝ่าน้ำที่กำลังไหลอยู่ หรือหากไม่ทราบว่าแอ่งน้ำนั้นลึกขนาดไหน ควรหยุดรถก่อนที่จะถึงบริเวณน้ำท่วม
และตรวจสอบความลึกของน้ำ ซึ่งโดยทั่วไป ถ้าระดับน้ำสูงกว่าขอบประตูรถหรือสูงกว่า 1 ใน 3 ของล้อเมื่อวัดจากพื้นถนน
ไม่ควรขับฝ่าไปอย่างเด็ดขาด
      
       11.เมื่อรถติดหล่ม ให้เปลี่ยนมาใช้เกียร์ 1 หรือเกียร์ 2 และเร่งเครื่องช้าๆ อย่าเร่งเครื่องแรงจนทำให้ล้อหมุนฟรี
เพราะจะทำให้รถจมลึกลงไปกว่าเดิมอีก
      
       12.การเชนเกียร์ต่ำกระทันหันขณะฝนตกเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่ง ขณะที่พื้นถนนเปียก การเปลี่ยนเกียร์อย่างรวดเร็ว
ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเร็วของล้อและยาง อาจทำให้รถลื่นไหลและสูญเสียการควบคุมรถ ซึ่งก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
ผู้ขับขี่ควรใช้ความระมัดเพิ่มขึ้นเมื่อต้องการเปลี่ยนมาใช้เกียร์ต่ำขณะขับบนถนนลื่น โดยเฉพาะเมื่อต้องขับรถขึ้นเนินที่มีความลาดชัน
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 31/7/2013 10:39

วิจัยชี้แม้อันตราย แต่วัยรุ่นก็ยังแชทขณะขับ

จากการสำรวจของสื่อในสหัฐอเมริกา เผยผลสำรวจวัยรุ่นชาวอเมริกัน พิมพ์ข้อความผ่านทางโทรศัพท์มือถือ
หรือแชท ระหว่างขณะขับรถเป็นจำนวนมาก
               
       นิตยสารคอนซูมเมอร์ รีพอร์ตในสหรัฐอเมริกาเปิดเผยตัวเลขจากการสำรวจโดยระบุว่า 8 ใน 10
ของกลุ่มตัวอย่างในการสำรวจกว่า 1,000 คนระบุว่า มักจะพิมพ์ข้อความผ่านทางโทรศัพท์มือถือ
ในระหว่างการขับรถอยู่เสมอแม้ว่าจะทราบดีว่าเป็นเรื่องที่อันตรายและผิดกฎหมาย โดยร้อยละ 29
ของกลุ่มวัยรุ่นที่แชทขณะขับมีอายุในช่วงระหว่าง 16-21 ปี ขณะที่อีกร้อยละ 47
สารภาพว่าชอบโทรศัพท์ในขณะขับรถโดยที่ไม่ใช่อุปกรณ์แฮนด์ฟรี
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 10/8/2013 16:21

นอกจากนั้นร้อยละ 48 ของกลุ่มตัวอย่าง เผยว่า พวกเขามักจะเห็นพ่อแม่ทั้งคู่หรือคนใดคนหนึ่งโทรศัพท์ขณะขับรถ
โดยจากการเปิดเผยของหน่วยงานด้านความปลอดภัยบนท้องถนนของสหรัฐอเมริกา หรือเอ็นเอชทีเอสเอ
ยืนยันว่าในปี 2010 มีตัวเลขผู้เสียชีวิตจำนวน 3,092 คนจากอุบัติเหตุอันเป็นผลมา
จากการการถูกดึงดูดความสนใจในขณะขับรถ เช่น การพิมพ์ข้อความทางโทรศัพท์
หรือการเบนสายตาจากถนนไปทำกิจกรรมอื่น เช่น เปลี่ยนซีดีในรถ หรือคิดเป็นร้อยละ 9.4 ของผู้เสียชีวิตบนท้องถนน
               
       สำหรับตัวเลขในปี 2011 ยังไม่มีการเปิดเผยออกมา
แต่เชื่อว่าน่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกันแม้ว่าในแง่ของภาพรวมด้านผู้เสียชีวิตบนท้องถนน
ในสหรัฐอเมริกาของปี 2011 จะลดลงเหลือ 32,885 ราย หรือต่ำที่สุดนับจากปี 1949
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 17/8/2013 15:26

ที่ผ่านมาในสหรัฐอเมริกา มีการรณรงค์ในเรื่องของการงดกิจกรรมการแชทผ่านโทรศัพท์มือถือ
อย่างมากนับตั้งแต่สมาร์ทโฟนเริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคน และใน 38 รัฐ
ของหรัฐอเมริกามีการออกกฎหมายห้ามพิมพ์ข้อความบนโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อื่นๆ ในระหว่างขับรถ
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 22/8/2013 16:33

10 วิธีขับรถปลอดภัยในช่วงหยุดยาว

เดือนธันวาคมนับหนึ่งในเดือนสุดโปรดของมนุษย์ทำงานอย่างเรา เพราะเป็นเดือนที่มีวันหยุดยาวหลายวัน
สภาพอากาศที่เป็นใจ อีกทั้งยังมีโบนัสออกมาช่วงสิ้นปีอีก ทำให้หลายคนเตรียมวางแผนเดินทางไกล
เพื่อให้รางวัลกับตัวเองหลังจากที่ทำงานหนักมาตลอดทั้งปี
      
       สำหรับผู้ที่ชอบขับรถเดินทางไกลนั้น นอกจากจะต้องวางแผนจองโรงแรมและเลือกสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว
สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงอย่างมากคือ ตรวจสอบเส้นทางและเตรียมความพร้อมของรถคู่กายเพื่อความปลอดภัย
การเตรียมความพร้อมต่อสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดต่างๆ นาๆ ตั้งแต่เสียงร้องของเด็กที่เข้ามารบกวนโสตประสาท
ขณะขับรถ ภาวะรถติด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาพของถนนในช่วงหลังน้ำท่วม เป็นต้น
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 29/8/2013 17:53

หลังจากเตรียมความพร้อมทุกอย่างแล้ว อย่าละเลย สิ่งง่าย ๆ ที่ไม่ควรมองข้ามอย่างวิธีการขับขี่อย่างถูกต้อง
เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับตัวคุณเองและครอบครัว
ฟอร์ด ประเทศไทย มี 10 เคล็ดลับง่ายๆ มาร่วมแบ่งปัน เพื่อให้ทุกการเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย
      
       1.เช็มขัดนิรภัยถือว่าเป็นอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยที่สำคัญที่สุด การคาดเข็มขัดนิรภัยอย่างถูกวิธีนั้น
ควรคาดเข็มขัดให้อยู่รอบสะโพกไม่ให้เข็มขัดนิรภัยพาดบริเวณหน้าท้อง และไม่ควรรัดเข็มขัดนิรภัยจากด้านหลังหรือใต้แขน
เนื่องจากจะทำให้เคลื่อนไหวไม่สะดวก
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 3/9/2013 09:52

2.สำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ปี ควรใช้ที่นั่งสำหรับเด็กและคาดเข็มขัดนิรภัยเพื่อความปลอด
ภัยสูงสุด โดยควรจัดวางไว้ที่เบาะหลังและหันหน้าไปทางด้านหลังรถ ส่วนเด็กอายุ 1-3 ปีนั้น
ควรนั่งที่นั่งสำหรับเด็กเช่นกัน แต่สามารถหันหน้าไปทางหน้ารถได้ สำหรับเด็กอายุ 4 -7 ปี
ซึ่งโตเกินกว่าที่จะนั่งเก้าอี้นิรภัย แต่เข็มขัดนิรภัยที่มากับที่นั่งปกติของผู้ใหญ่ก็ยังไม่พอดีกับตัว
ควรใช้ที่นั่งเสริม (booster seat) แล้วคาดเข็มขัดนิรภัยของที่นั่งปกติ
เพื่อยึดเก้าอี้เสริมให้ติดกับเบาะรถ ทั้งนี้ ควรให้เด็กเล็ก นั่งบริเวณเบาะหลังของรถ
เพราะการทำงานของถุงลมนิรภัยอาจทำอันตรายต่อเด็กเล็กได้
อีกทั้งบริเวณประตูหลังของรถยังสามารถตั้งไม่ให้สามารถเปิดจากภายในรถได้
เพราะลดความเสี่ยงจากความซุกซนของเด็กน้อยได้อีกชั้น
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 11/9/2013 14:09

3.ผู้ขับขี่ควรทำความรู้จักและความคุ้นเคยกับรถและอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยก่อนออกเดินทาง
นอกจากนี้ควรตรวจตราและซ่อมบำรุงอย่างสม่ำเสมอ สิ่งที่ควรตรวจสอบให้เรียบร้อย
ก่อนออกเดินทางคือเกจ์วัดความลึกของดอกยาง ความดันลมยาง รวมถึงระดับของน้ำมันเครื่อง
และน้ำในหม้อน้ำว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือไม่
      
       4.ขับรถอย่างมีความรับผิดชอบ เคารพกฏหมายและมีความรู้เรื่องระดับความเร็วของแต่ละสถานที่
นอกจากนี้ควรพกใบขับขี่และรายละเอียดของประกันติดรถไว้เสมอ
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 16/9/2013 13:51

5.ผู้ขับขี่ควรทำความรู้จักและความคุ้นเคยกับรถและอุปกรณ์เพื่อความ
ปลอดภัยก่อนออกเดินทาง นอกจากนี้ควรตรวจตราและซ่อมบำรุงอย่าง
สม่ำเสมอ สิ่งที่ควรตรวจสอบให้เรียบร้อย ก่อนออกเดินทางคือเกจ์วัดความ
ลึกของดอกยาง ความดันลมยาง รวมถึงระดับของน้ำมันเครื่องและน้ำใน
หม้อน้ำว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือไม่

    6.ขับรถอย่างมีความรับผิดชอบ เคารพกฏหมายและมีความรู้เรื่องระดับ
ความเร็วของแต่ละสถานที่ นอกจากนี้ควรพกใบขับขี่และรายละเอียดของ
ประกันติดรถไว้เสมอ
      
     7.วางแผนล่วงหน้าก่อนออกเดินทาง โดยประมาณระยะเวลาที่
เหมาะสมของแต่ละจุดหมายปลายทาง รวมถึงขับรถตามความเร็วที่
เหมาะสมตามที่กฎหมายกำหนด และเว้นช่องว่างกับรถที่อยู่ด้านหน้า
อย่างน้อย 3 วินาที เพราะความปลอดภัยเมื่อรถคันหน้าเบรก
อย่างกระทันหัน
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 23/9/2013 15:58

8.จัดสิ่งของหรือกระเป๋าที่หนักที่สุดให้อยู่ใต้สุด เพื่อให้สิ่งของนั้นไม่เคลื่อน
มากระแทกโดนผู้โดยสารเมื่อต้องหยุดกะทันหันหรือเมื่อมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น

      
       9.ถึงแม้ว่าช่วงหยุดยาวจะเป็นช่วงแห่งการเฉลิมฉลองก็ตาม แต่กฎทอง
ที่ผู้ขับขี่ทุกคนควรจำไว้คือ “อย่าขับรถในขณะเมาเหล้า”

      
       10.หากรู้สึกเหนื่อยให้หยุดพัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เดินทางในระยะ
ทางไกลอาจต้องการแวะพักบ่อยขึ้น เพื่อช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าและ
ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 30/9/2013 14:02

นอกจากคำแนะนำทั้ง 10 ข้อจากฟอร์ด แล้ว การเลือกใช้รถสักคันที่ได้ติด
ตั้งเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยอย่างครบครันนั้น จะที่ทำให้ผู้ขับขี่รู้สึก
มั่นใจและปลอดภัยมากขึ้น เช่น
      
       Advance Trac ซึ่งจะตรวจจับการทำงานของแกนและตัวหมุนทำให้
ผู้ขับขี่สามารถควบคุมการทรงตัวของรถได้เป็นอย่างดี
      
       ระบบเตือนเข็มขัดนิรภัย (Belt-Minder Technology) ที่จะช่วยเตือน
ให้ผู้โดยสารด้านหน้าคาดเข็มขัดนิรภัยอยู่เสมอ
      
       เทคโนโลยีการสั่งงานด้วยเสียง (Voice Control) ที่จะควบคุมการ
ติดต่อสื่อสารและระบบความบันเทิงภายในรถโดยที่มือไม่ต้องละมือจาก
พวงมาลัย
      
       ระบบควบคุมเสถียรภาพแบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Stability
Program :ESP) ที่จะช่วยควบคุมการทรงตัวของรถในทุกสภาพถนน

      
      ระบบตรวจจับภาพในส่วนที่เป็นจุดบอด (Blind-Spot Monitoring
System) ซึ่งจะจับภาพและส่งสัญญาณเตือนหากมีรถอีกคันเข้ามาใกล้ใน
ส่วนที่เป็นจุดบอด
      
       ถึงแม้ว่ารถในปัจจุบันจะได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีเพื่อความ
ปลอดภัยที่ทันสมัยเพื่อช่วยลดความเครียดของผู้ขับขี่สักเพียงใดก็ตาม
สิ่งที่สำคัญคือ ความพร้อมของผู้ขับขี่ที่ควรขับขี่อย่างมีสติและใจเย็น ซึ่ง
จะทำให้การท่องเที่ยวช่วงหยุดยาวคราวนี้เป็น ทริปที่น่าจดจำที่
สุดอีกทริปหนึ่ง
      
       ข้อมูลและภาพโดยฟอร์ด ประเทศไทย
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 7/10/2013 16:16

3ค่ายรถยนต์ยักษ์ โตโยต้า นิสสัน ฮุนได ประกาศเรียกคืนรถที่มีปัญหา จำหน่ายในญี่ปุ่น และอเมริกาเหนือรวมเกือบ2.4ล้านคัน

โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป ประกาศเรียกคืนรถมินิแวน เซียนนาที่จำหน่ายในทวีปอเมริกาเหนือ จำนวน 694,000 คัน
หลังพบปัญหาตำแหน่งของเกียร์อาจเคลื่อนย้ายได้เองออกจากตำแหน่ง “P” หรือตำแหน่งเข้าเกียร์จอด
ซึ่งส่งผลให้รถอาจเคลื่อนที่ได้ทั้งที่ผู้ขับขี่เข้าเกียร์จอดไว้แล้ว และรถมินิแวนเซียนนา รุ่นที่ได้รับผลกระทบ
ประกอบด้วยรุ่นที่ผลิตระหว่างปี 2004-2005 และรุ่นปี 2007-2009 โดยคำแถลงของโตโยต้ายังยอมรับด้วยว่า
เคยพบการเกิดอุบัติเหตุจำนวน 21 กรณีซึ่งทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 2 รายจากปัญหาความบกพร่องของระบบเกียร์ดังกล่าว
      
ด้านนิสสัน มอเตอร์จากญี่ปุ่นประกาศเรียกคืนรถ 908,900 คัน ที่จำหน่ายในญี่ปุ่น จากปัญหาการทำงานที่ผิดพลาด
ของเซ็นเซอร์ที่อาจส่งผลให้รถไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ ประกอบด้วยรถรุ่นอินฟินิตี้ เอ็ม, รถเอสยูวีรุ่น “X-trail”
รวมถึงรถมินิแวน “เซเรนา”
     

ขณะฮุนได มอเตอร์ แห่งเกาหลีใต้ประกาศเรียกคืนรถเพื่อตรวจสอบปัญหาจำนวน 760,000 คัน
ที่จำหน่ายไปในทวีปอเมริกาเหนือ หลังตรวจพบความผิดปกติของไฟเบรกซึ่งอาจทำงานไม่ถูกต้อง
และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ประกอบด้วย รุ่นแอ็คเซนท์ที่ผลิตระหว่างปี 2006-2007, เอลันตรา ทัวริง
รุ่นที่ผลิตระหว่างปี 2009-2011, ฮุนได โซนาตารุ่นปี 2007-2010 , และฮุนได ทูซอน รุ่นที่ผลิตปี 2009-2011
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 15/10/2013 10:06

ค่ายรถหั่นราคาคนทิ้งคืนภาษีรถคันแรก

สรรพสามิตหวั่นบริษัทรถจัดโปรโมชันแรงทำคนทิ้งจองรถคันแรก

นายจุมพล ริมสาคร ที่ปรึกษาด้านพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี
กรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตเตรียมนัดผู้ประกอบการ
หารือเรื่องคนที่ถือใบจองรอรับรถที่ได้รับสิทธิในโครงการรถยนต์
คันแรกที่ยังค้างอยู่ที่ประมาณ 1.3 แสนรายว่า ยังประสงค์จะใช้สิทธิ
รอรับรถหรือจะสละสิทธิ โดยอาจใช้วิธีการส่งข้อความทางมือถือ
สอบถามโดยตรงไปยังผู้ขอใช้สิทธิเพื่อสร้างความชัดเจนในโครงการ
รถยนต์คันแรกในช่วงที่เหลือว่าต้องใช้เงินเท่าใด ทั้งนี้ในปีงบ 2557
กรมสรรพสามิตเตรียมเงินไว้คืนภาษี 4 หมื่นล้านบาท และปี 2558
อีก 3 หมื่นล้านบาท

สำหรับยอดคืนภาษีรถคันแรกล่าสุดได้คืนเงินภาษีไปแล้ว 5 แสนคัน
เป็นเงิน 3 หมื่นล้านบาท จากยอดรถที่เข้าโครงการประมาณ 1.2 ล้านคัน
โดยมีผู้ที่แจ้ง ขอยกเลิกสิทธิแล้วกว่า 2 หมื่นราย โดยระหว่างนี้รอ
ผู้ที่ถือครองรถครบ 1 ปี มาขอรับเงินภาษีคืนจากกรมสรรพสามิต
ซึ่งเฉลี่ยมีผู้ได้รับเงินภาษีคืนตกประมาณเดือนละ 1 หมื่นราย

“ในกลุ่มที่ยังไม่ใช้สิทธิ 1.3 แสนราย จำนวนนี้ 2 หมื่นราย
แจ้งแล้วว่าไม่ขอ สละสิทธิ และมี 3 หมื่นรายที่อยู่ในขั้นตอนการ
ตรวจสอบเอกสารเพื่อขอคืนเงินภาษี”นายจุมพล กล่าว

แหล่งข่าวจากกรมสรรพสามิต รายงาน ว่า สาเหตุที่คนขอสละสิทธิ
รถคันแรก เกิดจากการจัดโปรโมชันของบริษัทรถยนต์ที่ยอมลดราคา
ให้ลูกค้าทีเดียว 1 แสนบาท จึงสร้างแรงจูงใจให้คนเลือกซื้อรถจาก
บริษัท เพราะไม่ต้องการเข้ากระบวนการขอคืนภาษีรถคันแรกที่มี
เงื่อนไขว่าต้องถือครองรถนาน 5 ปี ถึงจะขายเปลี่ยนมือได้
นอกจากนั้นผู้ซื้อก็สามารถเลือกรถยนต์รุ่นที่ใหม่ต้องการได้
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 22/10/2013 10:20

บีโอไออนุมัติส่งเสริมอีโคคาร์รุ่นที่ 2

บีโอไอ เปิดเงื่อนไขอีโคคาร์รุ่นที่ 2 พร้อมให้ค่ายรถยนต์ขอรับ
ส่งเสริมการลงทุนตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มี.ค. 57

นายประเสริฐ บุญชัยสุข รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สำนักงานคณะ
กรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) รายงานถึงการออกประกาศคณะ
กรรมการส่งเสริมการลงทุน ฉบับที่ ส 1/2556 ณ วันที่ 30 กันยายน 2556
เพื่อให้การส่งเสริมกิจการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล
รุ่นที่ 2 อย่างเป็นทางการแล้ว โดยผู้ประกอบการค่ายรถยนต์ที่สนใจทุก
ราย สามารถยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนตามโครงการดังกล่าวได้ตั้งแต่
บัดนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2557

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการค่ายรถยนต์จะต้องยื่นคำขอส่งเสริมโครงการภายใต้
เงื่อนไขและหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่กำหนดไว้ ได้แก่ มีมูลค่าเงินลงทุนไม่
น้อยกว่า 6,500 ล้านบาท โดยผู้ประกอบการจะต้องลงทุนผลิตแบบครบ
วงจรทั้งการประกอบรถยนต์และการผลิตชิ้นส่วนและเครื่องยนต์ มีปริมาณ
การผลิตไม่น้อยกว่า 100,000 คันต่อปี นับตั้งแต่การผลิตปีที่ 4 เป็นต้นไป

สำหรับเครื่องยนต์ที่ใช้สำหรับอีโคคาร์รุ่นที่ 2 จะต้องเป็นเครื่องยนต์
มาตรฐานยูโร 5 ที่มีมาตรฐานในการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ไม่เกิน
100 กรัมต่อกิโลเมตร และต้องมีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงไม่เกิน 4.3
ลิตรต่อระยะทาง 100 กิโลเมตร สำหรับขนาดเครื่องยนต์ของอีโคคาร์ 2
หากเป็นเครื่องยนต์เบนซินต้องมีขนาดไม่เกิน 1300 ซีซี ส่วนเครื่องยนต์
ดีเซลต้องมีขนาดไม่เกิน 1500 ซีซี
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 28/10/2013 09:41

นายประเสริฐ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ประกอบการค่ายรถยนต์รายเดิมที่เคยเข้าร่วมโครงการอีโคคาร์รุ่น ที่ 1
สามารถเลือกขยายการลงทุนได้ 3 ทาง คือ
1. สามารถยื่นขอรับส่งเสริมลงทุนผลิตอีโคคาร์รุ่นที่ 2
ภายใต้เงื่อนไขใหม่ แต่มูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำลดจากเงื่อนไข 6,500 ล้านบาท เหลือ 5,000 ล้านบาท
2. ยื่นขอขยายการลงทุนผลิตอีโคคาร์รุ่นที่ 1 ภายใต้เงื่อนไขและสิทธิประโยชน์การลงทุนเดิม
โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเท่ากับจำนวนปีที่เหลืออยู่ และ
3. ผู้ผลิตอีโคคาร์รุ่นที่ 1 สามารถยื่นขอขยายการผลิตทั้งอีโคคาร์รุ่นที่ 1 และเพิ่มการผลิตอีโคคาร์รุ่นที่ 2 ได้ด้วย
โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเท่ากับจำนวนปีที่เหลืออยู่

“โครงการอีโคคาร์รุ่นที่ 2 จะเปิดกว้างให้ผู้ประกอบการทุกรายที่มีความพร้อม และมีความสนใจเข้าร่วมโครงการ
ได้อย่างเท่าเทียมกัน เพื่อให้เกิดการแข่งขันของตลาดรถยนต์อย่างเป็นธรรม เป็นไปตามเป้าหมายของการกระตุ้น
อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ของประเทศไทย ทั้งนี้ค่ายรถยนต์รายใหม่ที่ยังไม่เคยเข้าร่วมโครงการอีโคคาร์รุ่นที่ 1
สามารถยื่นขอส่งเสริมการลงทุนได้ทันที ซึ่งตามกรอบเวลาของแผนกำหนดให้ผู้ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน
จะต้องเริ่มดำเนินการผลิตอย่างช้าในปี 2562 นี้” นายประเสริฐกล่าว
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 4/11/2013 15:43

นายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการ บีโอไอ
กล่าวว่า เพื่อให้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการนี้มาก
ขึ้น บีโอไอจะเชิญผู้ประกอบการค่ายรถยนต์ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการนี้
ทุกรายเข้าร่วมรับฟังคำชี้แจงรายละเอียดและเงื่อนไขการยื่นขอรับส่งเสริม
การลงทุนอย่างเป็นทางการภายในช่วง 2 สัปดาห์นี้ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้เกิด
ความเข้าใจที่ชัดเจนถึงแนวทางและรูปแบบของโครงการยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการอีโคคาร์รุ่นที่ 2 จะได้รับสิทธิ
ประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 6 ปี แต่หากผู้ผลิตรายใดมี
การลงทุนหรือใช้จ่าย เพื่อพัฒนาผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย
ไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ภายใน 5 ปี จะได้รับสิทธิประโยชน์
ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติม 1 ปี รวมเป็น 7 ปี และหากมีการลงทุน
หรือใช้จ่ายเพื่อพัฒนาผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทยไม่น้อยกว่า 800 ล้าน
บาท ภายใน 5 ปี จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่ม
เติม 2 ปี รวมเป็น 8 ปี นอกจากนี้ ยังจะได้รับสิทธิประโยชน์อื่นๆ เช่น การ
ยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักรเช่นเดียวกับอีโคคาร์รุ่นที่ 1
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 11/11/2013 10:25

โปรฯยั่วใจแต่เงื่อนไขเพียบ!เช็กก่อนซื้อ

“ลดทุกชั้นทุกแผนก” คำนี้ทุกท่านคงคุ้นหูกับห้างสรรพสินค้าที่ยกขึ้นมาโปรโมทเพื่อดึงดูดใจขาช็อปให้มาซื้อของภายในห้างฯ
หรือมิเช่นนั้นก็ทำโปรโมชั่นลดราคาล้างสต๊อกระบายสินค้าประเภทต่างๆ แตกต่างกันไป

แต่วันนี้ คำนี้กลับถูกใช้ในสินค้าประเภท “รถยนต์” ที่ “ทุกรุ่น ทุกเซ็กเมนต์” ถูกนำมาจัดรายการส่งเสริมการขายกันอย่างหนักหน่วง
เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการดึงกำลังซื้อไปไว้ในปีที่ผ่านมาเป็นจำนวนมาก จากโครงการคืนภาษีรถยนต์คันแรก 1 แสนบาท
ที่แสนจะดึงดูดใจในปี 2555 ที่ผ่านมา

ประกอบกับตัวเลขการรับสิทธิในโครงการดังกล่าวทั้งหมดที่รวมแล้วมีจำนวนในระดับ 1.2 ล้านสิทธิ
แต่มีผู้ยกเลิกการรับสิทธิจำนวนกว่า 1 แสนราย ส่งผลให้ปริมาณสต๊อกที่เตรียมไว้ส่งมอบตามแผนที่วางไว้
คงเหลือค้างสต๊อกมากน้อยแตกต่างกันในแต่ละยี่ห้อ

ไม่เท่านั้น กำลังซื้อที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ยังถูกบีบด้วยปัจจัยความกังวลต่างๆ อาทิ ความกังวลน้ำท่วม ภาระหนี้ครัวเรือนที่สูง
ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น สภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 18/11/2013 15:35

ขณะที่เข้าช่วงไตรมาส 4 แล้วถือได้ว่าเป็นช่วงเข้าฤดูแห่งการขายปลายปี สถานการณ์การแข่งขันจะรุนแรงทวีคูณมากขึ้น
หลังจากที่ผ่านมาเกิด “สงครามโปรโมชั่น” ไปแล้วหลายระลอก จึงต้องถือได้ว่าเป็น “โอกาสทอง”
ของผู้บริโภคที่ได้รับประโยชน์เต็มๆ จากการแข่งขัน ชนิดที่เรียกว่าผู้ผลิตรถยนต์หรือตัวแทนจำหน่าย (ดีลเลอร์)
ต้องกุมขมับยอมขายแบบเหลือกำไรเพียงน้อยนิดเสมือน "หนังติดกระดูก"เลยทีเดียว

ดังนั้นแล้วจึงเห็นทุกวิถีทางดึงดูดยั่วตาล่อใจ ทั้งดาวน์ 0% ผ่อนนาน ดอกเบี้ยต่ำพิเศษ หรือดอกเบี้ย 0% รถเก่าแลกรถใหม่รับส่วนลด
รับของแถมพิเศษ ฟรีประกันภัย ฯลฯ พร้อมที่จะดึงให้เข้าสู่โชว์รูมมากที่สุด จากเดิมที่จะซื้อรถยนต์แต่ละครั้ง
จะต้องรอโปรโมชั่นดีๆ โดนๆ จากงานมหกรรมต่างๆ แต่วันนี้|ไม่ว่าที่ไหน จะในหรือนอกโชว์รูม ก็ดีก็โดนไปหมด

ที่เห็นทีจะเข้าตาต้องใจดึงดูดมากที่สุดคือ “โปรโมชั่นผ่อนเริ่มต้น” ถูกแสนถูก ซึ่งตอนนี้ต่ำสุดคงจะเป็น 2,999 ต่อเดือน ...
ซึ่งใครเห็นก็ตาโต O_o! ... เพราะว่าผ่อนแบบนี้สบายกระเป๋าเข้าถึงง่าย เหมาะกับการเป็นเจ้าของเสียนี่จริงๆ
ในความคิดของใครหลายคน
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 26/11/2013 10:16

แต่รู้หรือไม่!!! ... ว่าที่โปรโมชั่นดึงดูดใจแบบนี้มีเงื่อนไขที่ใครหลายคนอาจมองข้ามไป
เพราะเครื่องหมาย (*) ช่างตัวเล็กเสียเหลือเกิน แต่กลับสำคัญเสียนี่กระไร
จึงเป็นที่มาถึงการทำความเข้าใจรายละเอียดของเงื่อนไขต่างๆ
เริ่มต้นที่ การผ่อนเริ่มต้นต่อเดือนอันน้อยนิด ไม่ใช่น้อยนิดเช่นนี้ตลอดอายุสัญญา
เพราะการผ่อนลักษณะนี้เรียกกันว่า “การผ่อนแบบบอลลูน” หรือ “การผ่อนแบบอัตราเติบโตขั้นบันได”
ตัวอย่างเช่น ผ่อน 2,999 ต่อเดือนในช่วง 1-10 งวดแรกเท่านั้น แต่ช่วงตั้งแต่งวดที่ 11-24 เพิ่มขึ้นอีกระดับ
และจากนั้นงวดที่ 25-48 เพิ่มขึ้นเป็นอีกระดับจนครบสัญญา
ซึ่งก่อนการจะไปผ่อนได้นั้น มีเงื่อนไขอื่นๆ อีก อาทิ ต้องใช้เงินดาวน์ในอัตราที่กำหนด
ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องใช้เงินดาวน์ 25% ขึ้นไป ต้องใช้ลีสซิ่งที่กำหนดเท่านั้น (ทำให้อัตราดอกเบี้ยอาจสูงขึ้น)
ต้องเป็นอาชีพที่กำหนดเท่านั้น(ทำให้อัตราดอกเบี้ยอาจสูงขึ้น)
ต้องเป็นอาชีพที่กำหนดเท่านั้น และต่างๆ นานาอีกมากมาย ...ยิบย่อยไปหมด
นี่ยังไม่รวมถึงโปรโมชั่นอื่นๆ อีก ที่มีดอกจันหมายเหตุ (*) และ (**) ในเงื่อนไขอีกมากมายแล้วแต่ที่กำหนดไว้
ซึ่งจุดนี้เองจึงจะต้องเป็นจุดที่ผู้บริโภคควร “ระมัดระวังอย่างยิ่ง” ซึ่งจำเป็นต้องอ่านและศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วน
เพื่อเปรียบเทียบกับเงินในกระเป๋าที่มีเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 4/12/2013 13:15

ฉะนั้น ... ช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้จึงเรียกได้ว่าเป็น “นาทีทอง”
ของผู้บริโภคอย่างแท้จริง แต่อยากจะฝากย้ำว่า ท่ามกลางสิ่งยั่วตาล่อใจใน
โปรโมชั่นแล้ว ก็อย่าลืมลงลึกในรายละเอียดเงื่อนไข อย่าให้อะไรมาบังตา
เหมือนคำว่า“Sale” ของสินค้าในห้างฯ (เหมือนเสื้อผ้าที่ซื้อมา แต่ไม่ได้ใส่
แต่ที่ซื้อไว้เพราะลดราคา)
   ถ้าใครสนใจจะซื้อรถยนต์แล้วละก็ ผมฟันธงเลยว่า นาทีนี้เป็นโอกาสของผู้
บริโภคจริงๆ ยิ่งกว่าโครงการรถยนต์คันแรกเสียอีก ... แต่อย่างไรก็ต้องอย่า
ลืมดูความพร้อม ความสามารถทางการเงินของตนเองด้วยแล้วกัน จะได้ไม่
เกิดหนี้เสียส่งผลกระทบในอนาคต
   โดยเฉพาะในงานส่งท้ายปลายปีอย่าง มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 30
(มอเตอร์เอ็กซ์โป) ที่จะเป็นแหล่งรวมโปรโมชั่นที่ฮอตสุดจากการส่ง “ไม้ตาย
ทีเด็ด” ปั้นตัวเลขยอดจำหน่ายโกยยอดขายให้ได้มากที่สุด จึงเป็นที่น่า
จับตามองอย่างยิ่ง
   ชั่งน้ำหนักความเหมาะสมให้ดี จะได้ไม่เป็นเจ้าของรถที่หนักใจแบกภาระ
หนี้ด้วยความทุกข์ที่เกิดขึ้นจาก “กระแส” ของสงคราม “โปรโมชั่น”
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 12/12/2013 09:34

คาดปีนี้ยอดผลิตรถยนต์พลาดเป้า5หมื่นคัน

กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ประเมินปีนี้มียอดผลิตรถยนต์ 2.5 ล้านคัน ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 5 หมื่นคัน

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยาน
ยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า
ยอดผลิตรถยนต์ ยอดขายในประเทศ และยอดส่งออกเดือนตุลาคม
ลดลงทั้งหมด โดยมีการผลิตนายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์
รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่ง
ประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ยอดผลิตรถยนต์ ยอดขายในประเทศ
และยอดส่งออกเดือนตุลาคม ลดลงทั้งหมด โดยมีการผลิตทั้งหมด

สำหรับตัวเลขการผลิตล่าสุด 10 เดือน (ม.ค.-ต.ค.) อยู่ที่ 2,115,375 คัน
คาดว่า ถึงสิ้นปีการผลิตคงจะได้ระดับ 2,510,000 คัน
แต่คงไม่ถึงเป้าหมายที่ 2,550,000 คัน โดยต้องรอดูยอดจองในงานมอเตอร์โชว์ในเดือนธันวาคมนี้ก่อน
ด้วยว่าจะคึกคักมากน้อยเพียงใด ซึ่งยอดผลิตที่ต่ำกว่าเป้าหมายเกิดจาก
ทั้งยอดขายในประเทศและภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 16/12/2013 10:48

"รถยนต์ที่เริ่มมีการผลิตและยอดขายในประเทศที่ลดต่ำขณะนี้
ถือว่าเป็นการปรับสู่ภาวะปกติ หลังจากหมดโครงการรถคันแรก
โดยโครงการรถคันแรก 1,250,000 คัน ล่าสุดยังมีรถค้างการส่งมอบทั้งสิ้น
132,000 คัน ซึ่งผู้ที่ยังไม่ได้บอกยกเลิกใบจอง กรมสรรพสามิตจะยังให้
ถือว่ามีสิทธิอยู่ ซึ่งประเมินว่าที่สุดโครงการรถคันแรกน่าจะมีการทิ้งใบจอง
ประมาณ 100,000 คัน" นายสุรพงษ์กล่าว

  สำหรับยอดขายรถยนต์ภายในประเทศเดือนตุลาคมมีทั้งสิ้น 88,989 คัน
ลดลงจากเดือนกันยายน 6.26% และลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
37.7% เนื่องจากการส่งมอบรถยนต์ให้ลูกค้าโครงการรถยนต์คันแรกเกือบ
หมดแล้ว ประกอบกับลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อเพื่อรอซื้อรถยนต์ในงาน
มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 30 ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีการ
ส่งเสริมการขายที่มากกว่า และตั้งแต่เดือนมกราคม-ตุลาคม 2556
รถยนต์มียอดขายในประเทศ 1,123,263 คัน ลดลงจาก
ช่วงเดียวกันปีก่อน 1.8%
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 24/12/2013 10:06

ส่วนการส่งออกรถยนต์เดือนตุลาคมได้ 96,864 คัน
ลดลงจากเดือนกันยายน 2556 ประมาณ 18.09%
และลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 1.44% มีมูลค่าการส่งออก 43,333.77 ล้าน
บาท รวมการส่งออกรถยนต์เดือนมกราคม-ตุลาคม 2556จำนวน 944,205 คัน
คิดเป็น 99.7% ของยอดการผลิตเพื่อการส่งออก
โดยคิดเป็นมูลค่า 427,004.39 ล้านบาท
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 3/1/2014 10:11

ลุยต่ออีโคคาร์2รับสิทธิถึงมี.ค

อุตฯ เผย อีโคคาร์ 2 ยังเดินหน้า นักลงทุนยื่นขอรับส่งเสริมได้ถึงสิ้น มี.ค.
2557 แต่รอบอร์ดใหม่อนุมัติ
นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า
โครงการส่งเสริมการลงทุนรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล (อีโคคาร์) รุ่นที่ 2 ยังคงเดินหน้าต่อ ไม่ได้รับผลกระทบจากการยุบสภาของรัฐบาล
เนื่องจากเป็นนโยบายที่ผ่านการอนุมัติของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
(บีโอไอ) ไปแล้ว
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการสามารถยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนได้จนถึง 31 มี.ค.
2557 ซึ่งเท่ากับยังมีเวลาพิจารณาปัจจัยต่างๆอีกหลายเดือน
ซึ่งเชื่อว่าค่ายรถต่างๆ ยังสนใจลงทุนในไทย เพราะไทยมีจุดแข็งหลายด้าน
ทั้งภูมิศาสตร์ การขนส่ง และคุณภาพของคน ซึ่งได้เปรียบหลายประเทศ
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 6/1/2014 10:32

อย่างไรก็ตาม หลังยื่นขอรับส่งเสริมเข้ามาแล้ว ผู้ที่อนุมัติการลงทุนใ
ห้ผู้ประกอบการแต่ละรายก็ยังต้องเป็นบอร์ดบีโอไอ
เพราะตามเกณฑ์แล้วหากเป็นการลงทุนที่มากกว่า 200 ล้านบาท
จะต้องมีการนำเข้าให้บอร์ดอนุมัติ ซึ่งหมายถึงต้องรอ
หลังการเลือกตั้งใหม่ เพื่อให้มีรัฐบาลใหม่มาทำหน้าที่แต่งตั้งบอร์ดชุดใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อีโคคาร์รุ่นที่ 2 เป็นโครงการที่กระทรวงอุตสาหกรรม
คาดหวังว่าจะเข้ามากระตุ้นให้การผลิตรถยนต์
ของไทยขึ้นไปอยู่ที่ 3.4 ล้านคันในปี 2560
โดยคาดว่าจะเริ่มมีการผลิตเร็วที่สุดคือ ปี 2559 และอย่างช้าปี 2562
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 14/1/2014 09:35

ผลวิจัยพบรถยนต์ใหม่เสน่ห์ลดลง

ผลวิจัย ชี้เสน่ห์ของรถยนต์ใหม่ในประเทศไทยลดลง ผิดหวังเครื่องเสียง, ความบันเทิง, ระบบนำทาง
รายงานข่าวจาก เจ.ดี.พาวเวอร์ เอเชีย แปซิฟิก เผยผลการศึกษาวิจัย
สมรรถนะ ระบบปฏิบัติการ และการออกแบบรูปลักษณ์ของรถยนต์ใน
ประเทศไทย ประจำปี 2556 ซึ่งได้จากการประเมินคำตอบของเจ้าของรถ
ใหม่จำนวน 5,013 ราย ที่ซื้อรถในช่วงเดือนตุลาคม 2555 ถึงเดือน
มิถุนายน 2556 ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล, รถกระบะ และรถยนต์
อเนกประสงค์ จำนวนทั้งสิ้น 78 รุ่น จากทั้งหมด 13 ยี่ห้อ ทำการเก็บ
รวบรวมข้อมูลภาคสนามในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนสิงหาคม 2556
โดย เจ.ดี.พาวเวอร์ เอเชีย แปซิฟิก (J.D. Power Asia Pacific 2013
Thailand  AutomotivePerformance, Execution and Layout
ประเทศไทยลดลงในปี 2556 โดยมีสาเหตุหลักจากความพึงพอใจที่มีต่อ
เครื่องเสียง, ความบันเทิง, ระบบนำทาง ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 20/1/2014 09:32

โลอิค เปอ็อง ผู้จัดการอาวุโสของ เจ.ดี. พาวเวอร์ เอเชีย แปซิฟิก
กล่าวว่า ปัจจุบันเครื่องเสียง, ความบันเทิง, ระบบนำทางถือเป็น 1 ใน 3
ส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดของทุกกลุ่มรถยนต์ แม้ว่าภายนอกตัวรถยังคง
เป็นส่วนประกอบที่มีความสำคัญที่สุดต่อความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อ
รถยนต์ใหม่ในประเทศไทย เจ้าของรถยนต์ขนาดเล็กดูเหมือนจะยังรับไม่
ได้กับเรื่องคุณภาพของเสียง เช่น ลำโพงคู่หลัง และการขาดอุปกรณ์ที่ใช้
เชื่อมต่อกับเครื่องเสียงที่ใช้เล่นเพลงแทนกันได้ เช่นMP3, USB, iPod
และอื่นๆ ซึ่งเจ้าของรถยนต์ขนาดเล็กเหล่านีมี้ความคาดหวังว่าอุปกรณ์ต่าง
ๆ เหล่านี้ควรเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่มาพร้อมกับตัวรถ ไม่ว่ารถคันนั้นจะ
ราคาเท่าไหร่ก็ตาม

   ขณะที่การศึกษาดังกล่าวได้ทำการศึกษาจากรถทั้งหมด 78 รุ่น
ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ซึ่ง โตโยต้า ได้รับการจัดอันดับสูงสุด 5 รุ่น
ได้แก่ คัมรี ไฮบริด, โคโรล่า อัลติส, ฟอร์จูนเนอร์, ไฮลักซ์ วีโก้ แชมป์
พรีรันเนอร์ สมาร์ทแค๊ป และ ไฮลักซ์วีโก้ แชมป์ เอส-แค๊ป
ด้าน ฮอนด้าได้รับการจัดอันดับสูงสุด 3 รุ่น บริโอ อเมซ, ซีวิค และ แจ๊ส ส่วน เชฟโรเลต แคปติวา, อีซูซุ ดีแม๊คซ์ ไฮแลนเดอร์ ดี แค๊ป, มิตซูบิชิ มิราจ และ ซูซูกิ สวิฟท์

ต่างก็ได้รับคะแนนสูงสุดในแต่ละกลุ่มรถยนต์นั้นๆ
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 24/1/2014 09:53

ไทยขึ้นท็อปเทนผู้ผลิตรถยนต์โลก

  ปี 2556 ไทยผลิตรถยนต์ 2.45 ล้านคัน สูงสุดในรอบ 52 ปี เป็นผู้ผลิตรถยนต์ติด 10 อันดับแรกของโลก
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษก
กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)
เปิดเผยว่า ทั้งปี 2556 เป็นปีที่ดีของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย
โดยมีจำนวนรถที่ผลิตได้ทั้งสิ้น 2.45 ล้านคัน สูงสุดในรอบ 52 ปี
ส่งผลให้ไทยกลายเป็นผู้ผลิตรถยนต์ติด 10 อันดับแรกของโลก
เพิ่มขึ้นจากปีก่อน  0.14% แบ่งเป็นการส่งออก 1.12 ล้านคัน
คิดเป็น 45.64% ของยอดการผลิตทั้งหมด และเป็นการจำหน่ายในประเทศ 1.33 ล้านคันหรือกว่า 54.36% ของยอดการผลิตทั้งหมด

"การชุมนุมทางการเมืองไม่กระทบยอดขายรถยนต์ เพราะยอดขายชะลอ
ตัวอยู่แล้ว หลังจากนโยบายรถยนต์คันแรกหมดลง
และกำลังซื้อของผู้บริโภคชะลอตัว" นายสุรพงษ์ กล่าว
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 27/1/2014 10:01

อย่างไรก็ตาม ในเดือนธันวาคม ไทยมียอดผลิตรถยนต์ต่ำสุดในรอบ 20 เดือน
โดยมียอดผลิตรถยนต์ทั้งสิ้น 158,000 คันลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 28.22%
เนื่องจากไม่ต้องผลิตรถยนต์ในโครงการรถคันแรก และลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 13.09%
เนื่องจากมีวันทำงานน้อย

ขณะที่ ยอดขายรถยนต์ในประเทศเดือนธันวาคม รวม 108,688 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันปีก่อน 24.9%
เนื่องจากหมดรถยนต์คันแรกตลาดกลับคืนปกติ แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 16.26%
ยอดขายดีขึ้นจากงานมหกรรมยานยนต์ที่มียอดจอง 41,083 คัน

ส่วนการส่งออกรถยนต์ ส่งออกได้ 87,961 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1.93%
แต่ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 8.38 มีมูลค่าส่งออก 40,462.89 ล้านบาท
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 30/1/2014 10:50

ค่ายรถหวั่นการเมืองไทยฉุดอุตฯยานยนต์

วอลสตรีทเจอร์นัลชี้สถานการณ์ที่ไร้เสถียรภาพกำลังส่งสัญญาณอันตราย
เตือนอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย

หนังสือพิมพ์วอลสตรี เจอร์นัล รายงานว่าการชุมนุมประท้วงที่เกิดขึ้นใน
ไทย ซึ่งทำให้ประเทศขาดเสถียรภาพความมั่นคงนี้ทำให้อุตสาหกรรม
ยานยนต์ไทย หนึ่งในหัวใจหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศตกอยู่
ในอันตราย
ไดยได้รวบรวมความเห็นจากบริษัทยานยนต์ชั้นนำข้ามชาติต่างๆ

ทั้งนี้ เมื่อต้นสัปดาห์ โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จาก
ญี่ปุ่น และเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญที่สุดของ
ไทย โดยผลิตรถยนต์ได้ 8.43 คันในปี 2013 ระบุชัดว่าอาจทบทวน
พิจารณาแผนการลงทุนมูลค่าสูงถึง 2 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายโรงงานใน
ไทย หากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองยังคงยืดเยื้อ
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 3/2/2014 09:55

ด้านสำนักงานสาขาค่ายรถยนต์จากญี่ปุ่นอย่างมาซด้า มอเตอร์ คอร์ป
ยอมรับว่า ความไม่สงบทางการเมืองไทยเริ่มส่ง

ผลกระทบต่อการส่งสินค้าให้กับตัวแทนจำหน่าย ขณะที่ นิสสัน มอเตอร์
กล่าวว่า ยอดขายรถยนต์ของตัวแทนจำหน่ายในกรุงเทพฯ
ซึ่งมีสัดส่วนถึง 40% ของยอดขายทั้งหมดของนิสสันประเทศไทย
น่าจะได้รับผลกระทบจากความวุ่นวายทางการเมืองไทย

"เราพบว่ามีผู้มาเยี่ยมชมโชว์รูมของเราน้อยลง ขณะที่ลูกค้าของโตโยต้าเองก็ไม่มีกะใจจะซื้อรถท่ามกลางความไม่สงบเหล่านี้" เคียวอิจิ ทานาดะ
ประธานโตโยต้า มอเตอร์ ประจำประเทศไทยกล่าว

ทั้งนี้ ประเทศไทยถือเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และนับเป็นผู้ผลิตที่ใหญ่เป็นอันดับ 9
ของโลก โดยรถยนต์ครึ่งหนึ่งของที่ผลิตได้นี้ ขายตลาดภายในประเทศ
ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งคือสินค้าส่งออกสำคัญ
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 6/2/2014 10:43

ด้วยทำเลที่ตั้ง ที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค สายการผลิตที่แข็งแกร่ง  
และภาษีส่งเสริมการลงทุน ส่งผลให้บริษัทรถยนต์ข้ามชาติต่างๆ
เช่น โตโยต้า มาซด้า และฟอร์ด มอเตอร์ เข้ามาตั้งโรงงานผลิตในไทย
เพื่ออาศัยประโยชน์ดังกล่าว โดยสถาบันยานยนต์ไทยระบุว่า
อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเป็นแหล่งสร้างงานมากกว่า 5 แสนตำแหน่ง
และคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 10% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
(จีดีพี) ที่เกี่ยวข้องกับภาคการผลิตในปี 2012

ในภาพรวมแล้ว โตโยต้า คาดการณ์ว่า ยอดขายรถยนต์ในไทย
จะลดลง 10% หรือ 4 แสนคัน ในปีนี้ ขณะที่ยอดขายรถยนต์ใน
อุตสาหกรรมทั้งหมดจะลดลง 13.6% หรือ 1.5 ล้านคัน
โดยตัวเลขดังกล่าวเป็นผลจากการยุตินโยบายรถยนต์
คันแรกของรัฐบาล ซึ่งตัวเลขประมาณการณ์นี้มีโอกาสลดลงอีก
หากการชุมนุมทางการเมืองยังคงยืดเยื้อต่อไป

ประธานโตโยต้าประจำประเทศไทยระบุว่า ถ้ายืดเยื้อนาน
สถานการณ์ที่ว่านี้ อาจทำให้โตโยต้าต้องลดกำลังการผลิต
ภายประเทศ โดยก่อนหน้านี้ ค่ายรถยนต์รายใหญ่จากญี่ปุ่น
คาดการณ์ว่าจะสามารถผลิตรถยนต์ในไทยในปี 2014
ได้ถึง 8.7 แสนคัน
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 10/2/2014 10:00

บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นหวั่นปัญหาไทยกระทบยอดขาย

มาสด้า มิตซูบิชิ สองบริษัทจากแดนปลาดิบ กังวลสถานการณ์การเมืองไทย กระทบยอดขาย
มาสด้า มอเตอร์ คอร์ป และมิตซูบิชิ มอเตอร์ คอร์ป 2 บริษัทผู้ผลิตยานยนต์
ของญี่ปุ่น แสดงความคาดหวังว่า ผลกำไรประจำปี 2013 ซึ่งจะสิ้นสุดในเดือน
มี.ค. นี้ จะปรับตัวแตะระดับสูงที่สุด อันเนื่องมาจากค่าเงินเยนที่อ่อนตัวนับตั้ง
เกิดวิกฤตเลห์แมน อย่างไรก็ตาม ทั้งสองบริษัทแดนปลาดิบแสดงความกังวล
ถึงสถานการณ์ในไทย ซึ่งเป็นฮับส่งออกของบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น
ว่าจะส่งผลกระทบต่อยอดขาย

ด้านมาสด้า ได้ประกาศปรับลดมุมมองยอดขายทั่วโลกในปีนี้ลงเหลือ 0.7%
ไปอยู่ที่ 1.325 ล้านคัน โดยอ้างถึงปัญหาในประเทศไทย
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 12/2/2014 15:04

"เราเชื่อว่า เราเริ่มจะเห็นผลกระทบของความไร้เสถียรภาพ
ทางการเมืองของไทยในตอนนี้แล้ว เราคิดว่าสถานการณ์
ทางการเมืองในไทยนี้จะยืดเยื้อไปจนถึงกลางปีนี้
" มาซะมิชิ โคไก ประธานบริหารของมาสด้า กล่าว

ในขณะที่ มิตซูบิชิ ระบุในทำนองเดียวกันว่า ยอดขายในไทยลดลง
ทว่า ยังไม่เห็นว่าสถานการณ์ในไทยส่งผลกระทบต่อการผลิต
แต่อย่างใด
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 18/2/2014 09:46

10 ของแต่งรถยนต์สุด ‘กาก‘ ที่ไม่ควรติดเลยจะดีกว่า

การแต่งรถยนต์ในบ้านเราส่วนใหญ่นั้น มักเป็นการตกแต่งรูปลักษณ์ภายนอกให้ตรงกับความต้องการของเจ้าของรถมากยิ่งขึ้น เพื่อให้รถดูเท่ ทันสมัย กว่ารถรุ่นเดียวกันบนท้องถนน

     แต่อุปกรณ์ตกแต่งรถบางประเภทนั้น กลับทำให้รถของคุณดูแย่ลงกว่าของเดิมๆเสียอีก วันนี้ จะพาไปรู้จัก 10 ของแต่งรถสุด 'กาก'
ที่ไม่ควรติดเสียเลยจะดีกว่า

    10 ของแต่งรถสุด 'กาก' มีอะไรกันบ้าง:

  1. คิ้วโครเมี่ยม

     โดยปกติแล้ว ชิ้นส่วนโครเมี่ยมต่างๆของรถที่ถูกออกแบบมาจากผู้ผลิต มักช่วยเพิ่มความหรูหราอย่าง 'พอดีๆ' แต่ปัจจุบันนี้มีของแต่งโครเมี่ยมมากมาย ซึ่งอาจทำให้รถส่องประกายแวววับเกินคำว่า 'พอดี' ไปนิด
ทำให้รถดูราวกับเป็นประตูอัลลอยเคลื่อนที่ได้ยังไงยังงั้น

  2.ไฟ LED หลากสีตระการตา

     ปัจจุบันผู้ผลิตรถยนต์ได้นำเอาหลอดไฟแบบ LED มาใช้กันอย่างแพร่
หลาย จึงทำให้มีพ่อค้านำเอาหลอด LED คุณภาพต่ำหลากสีสันมาวาง
ขาย เพื่อใช้ตกแต่งตามชิ้นส่วนต่างๆบนตัวถังรถ โดยที่ไฟประดับประดาเหล่านั้นไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆเลย ทั้งยังเป็นการรบกวนสายตาผู้ใช้รถคันอื่นๆ รวมถึงผิดกฏหมายอีกด้วย
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 20/2/2014 09:13

3.ขนตาปลอม
   ใครว่าขนตาปลอมจะมีเฉพาะสำหรับผู้หญิงเท่านั้น ขนตารถก็มีเช่นกัน!
ของเล่นสำหรับรถสุดแปลกชิ้นนี้ สาวๆอาจมองว่ามันช่วยทำให้รถดูเป็น
ผู้หญิงยิ่งขึ้น แต่เรากลับมองว่ามันดูตลกจนราวกับเป็นรถที่วิ่งในสวนสนุก
ยังไงยังงั้น

4. หลอดไฟ Xenon
     แม้ว่ารถระดับหรูส่วนใหญ่ มักติดตั้งไฟแบบซีนอนมาให้จากโรงงาน
ซึ่งมีข้อดีคือความสว่างและสวยงามกว่าหลอดฮาโลเจน
แต่หากนำหลอดซีนอนมาติดตั้งกับโคมไฟหน้าแบบมัลติรีเฟลคเตอร์
ทั่วไปแล้วละก็ แสงที่ได้จะฟุ้งและแยงสายตาผู้ขับขี่คนอื่น
ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายอย่างมากเลยทีเดียว บุพการีเตรียมนอนสะดุ้ง
อยู่บ้านได้เลย!

5. ไฟท้าย LED
    อย่างที่บอกไปว่าหลอด LED ช่วงนี้มาแรงจริงๆ จึงมีผู้คิดค้นผลิตไฟ
ท้ายแบบ LED (ที่ไม่ได้ติดตั้งมาจากโรงงาน) แบบตรงรุ่นกันเลยทีเดียว
ซึ่งในบางครั้งหากเป็นสินค้าคุณภาพต่ำ จะทำให้ไฟไม่สามารถส่องสว่าง
ได้มากเท่าที่ควร อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ร่วมทางได้

6. ตัวเสียบช่องเข็มขัดนิรภัย
     รถยนต์รุ่นใหม่ๆสมัยนี้ มักมีสัญญาณเตือนเมื่อไม่คาดเข็มขัดนิรภัย
ทำให้มีผู้ผลิตหัวใส คิดค้นตัวเสียบช่องเข็มขัดนิรภัย เพื่อทำให้ผู้ขับไม่
ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยขณะขับรถ ทั้งๆที่รู้ว่าเข็มขัดนิรภัยเป็นอุปกรณ์พื้น
ฐานที่ช่วยลดอาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุได้ดีที่สุด
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 24/2/2014 09:49

7. จานเบรคแบบหลอก
     รถบางรุ่นมักมาพร้อมเบรคหลังแบบดรัม ซึ่งหลายคนมองว่าไม่สวยงาม
จึงทำให้มีจานเบรคหลอกๆมาวางจำหน่ายเพื่อช่วยหลอกตาคนทั่วไป
แต่ขอโทษเถอะ มันไม่เนียนเลยสักนิดเดียว!

8. ฝาครอบเบรค
    บางคนใช้วิธีเพิ่มความเท่ให้เบรคชุดเดิมด้วยฝาครอบเบรคสีจัดจ้าน
ปะโลโก้แบรนด์ดัง ราวกับเปลี่ยนชุดคาลิปเปอร์เบรคมูลค่าหลายหมื่นบาท
มา แต่รู้ไหมว่าการใช้ฝาครอบเบรคจะทำให้ผ้าเบรคระบายความร้อนได้ช้า
ทำให้ประสิทธิถาพในการเบรคลดลง

9. Daytime Running Light
    ไฟส่องสว่างเวลากลางวันแทบจะเป็นอุปกรณ์พื้นฐานในรถยุโรปใหม่ๆ
ไปแล้ว ประโยชน์ของมันคือช่วยให้ผู้ขับขี่คันอื่นสามารถมองเห็นรถคุณได้
ง่ายขึ้นในเวลากลางวัน แต่ปัจจุบันมีไฟ DRL คุณภาพต่ำวางขายเกลื่อน
กลาด ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่มีความสว่างเพียงพอที่จะให้ประโยชน์ได้
จึงกลายเป็นของประดับเล็กๆน้อยๆให้ผู้ขับรู้สึกเท่ขึ้นมาเท่านั้นเอง

10. สติกเกอร์แต่งรถ
     หลายคนติดเพื่อความเท่ล้วนๆ แต่ถึงจะเท่แค่ไหน ก็ไม่ทำให้รถแรง
ขึ้นเลยจริงไหม

      สินค้าที่กลาวมาทั้งหลายเหล่านี้มักผลิตโดยผู้ผลิตที่ไม่มีคุณภาพ
ตันทุนต่ำ ราคาขายไม่แพง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรถยนต์ของคุณใน
ระยะยาวได้
       ทางที่ดีหากมีใจรักในการแต่งรถยนต์จริงๆก็ควรใช้สินค้าที่ได้
คุณภาพ เพื่อรถของเราจะได้สวยงามอย่างแท้จริงครับ
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 26/2/2014 10:21

วิธีแก้ปัญหารถสตาร์ตไม่ติด

ถ้าคุณขับรถอยู่แล้วรถคุณดับ สตาร์ตเท่าไหร่ก็ไม่ติดหรือสตาร์ตไม่ติดคุณจะทำอย่างไร
ถ้าผู้ขับขี่ที่มีพื้นฐานความรู้ด้านช่างอยู่บ้างก็คงจะพอแก้ไขปัญหาเบื้องต้นได้
แต่ถ้าเป็นผู้ขับขี่มือใหม่คงจะต้องโทร.ตามช่าง หรือไม่ก็สอบถามผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับรถยนต์
เพื่อที่จะทำการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้ขับต่อไปได้

สำหรับข้อแนะนำอาการเครื่องยนต์สตาร์ตไม่ติดและสตาร์ตไม่ได้แต่ละอาการ มีดังนี้

ถ้าบิดกุญแจแล้วเครื่องยนต์ไม่หมุนแต่ มีเสียงดังแชะๆ หรือไม่ดัง สันนิษฐานเบื้องต้นว่า แบตเตอรี่
หรือ ไดสตาร์ตมีปัญหา ให้ลองบีบแตรดูอาการว่าดังปกติหรือไม่ แบตเตอรี่อาจจะอ่อนเกือบหมด
ทำให้หมุนไดสตาร์ตไม่ไหว ได้แค่กระตุ้นโซลินอยด์เบาๆ แต่หมุนไม่ไหวจึงมีเสียงแชะๆ
ถ้าหากแบตเตอรี่มีไฟ ไดสตาร์ตอาจขัดข้อง ถ้าไดสตาร์ตขัดข้องให้ทดลองหาท่อนไม้มาเคาะไดสตาร์ต
ต้องระวังอย่าให้โดนอุปกรณ์อื่น ถ้าสตาร์ตติดแสดงว่าไดสตาร์ตสกปรก
แต่หลังจากนั้นก็ต้องถอดไปทำความสะอาดด้วย แต่ถ้าเคาะแล้วยังไม่ทำงานก็ต้องถอดออกไปซ่อม
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 28/2/2014 09:35

ถ้าบิดกุญแจแล้วเครื่องหมุนอืดๆ ไม่ยอมทำงานเอง
ถ้าได้ยินเสียงไดสตาร์ต และการหมุนของเครื่องยนต์ แต่เป็นการ
หมุนช้าๆ หรืออืดๆ อาการนี้ มักจะมีปัญหามาจากแบตเตอรี่ไฟอ่อน แบตเตอรี่เสื่อมสภาพ หรือ ไดชาร์จไม่ปกติ ไม่ใช่ปัญหาที่ตัวเครื่องยนต์
อาการขัดข้องแบบนี้ถ้าเป็นระบบเกียร์ธรรมดา สามารถเข็นโดย
เข้าเกียร์ 2 กระตุกติดเครื่องยนต์ได้ หรือถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติ
ก็สามารถพ่วงแบตเตอรี่จากภายนอกเพื่อสตาร์ตเครื่องยนต์
ให้ติดได้ครับ

เมื่อเครื่องยนต์ทำงานแล้วให้ดูไฟรูปแบตเตอรี่ที่หน้าปัด ว่าสว่างหรือเลือนราง ถ้าไฟรูปแบตเตอรี่ไม่สว่างแสดงว่าการชาร์จไฟปกติ แต่ถ้ารูปไฟแบตเตอรี่สว่างขึ้นโชว์ไม่ดับ ให้นำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อทำการตรวจเช็กการชาร์จไฟของไดชาร์จโดยด่วน เพราะถ้าคุณขับรถต่อไปเครื่องยนต์อาจจะดับเองได้อีก

ถ้าบิดกุญแจแล้วเครื่องหมุนเร็วด้วยไดสตาร์ต แต่เครื่องไม่ติด
อาจเข้าใจผิดว่าแบตเตอรี่เสีย หรือไดสตาร์ตเสีย เตรียมหาแบตเตอรี่
มาพ่วง ทั้งที่ความจริงแล้วแบตเตอรี่และไดสตาร์ตเป็นปกติ
เพราะเมื่อบิดกุญแจแล้วเครื่องยนต์หมุนได้เร็วด้วยไดสตาร์ต
แต่เครื่องยนต์ไม่สามารถทำงานหรือติดได้เอง เมื่อปล่อยการบิด
กุญแจเครื่องยนต์ก็หยุดหมุน ปัญหาอยู่ที่ตัวเครื่องยนต์ เพราะ
แบตเตอรี่และไดสตาร์ตปกติดี ให้ตรวจสอบที่ตัวเครื่องยนต์
เช่น มีไฟเลี้ยงระบบหรือไม่ ปั๊มส่งน้ำมันเชื้อเพลิงทำงานดี
หรือไม่ ต้องตรวจสอบระบบต่างๆ อาการลักษณะนี้
แนะนำให้ติดต่อศูนย์บริการดีที่สุด
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 13/3/2014 14:16

"เรามองว่ากลางปีก็ถือเป็นช่วงการจัดงานที่น่าสนใจ เพราะแม้จะอยู่
ในช่วงหน้าฝน แต่ก็เป็นโอกาสที่ผู้ร่วมงานจะได้จัดแคมเปญมิดเยียร์เซล
ด้วย ลูกค้าก็ได้ซื้อสินค้าในราคาถูก และจากกระแสตอบรับที่ดีก็เลย
จะจัดงานในต่างจังหวัดด้วย" นายณัฐพลกล่าว

และแม้จะเลื่อนกำหนดการจัดงานออกไป แต่ก็ยังได้รับการตอบรับจากผู้
เข้าร่วมงานเป็นอย่างดี โดยมีค่ายรถจักรยานยนต์เข้าร่วมงานราว 12-13
แบรนด์ พร้อมทั้งบูทผู้จำหน่ายแอ็กเซสซอรี่อีกกว่า 50 ราย บนพื้นที่การ
จัดงานรวมกว่า 20,000 ตร.ม.

นอกจากนี้จะมีการเพิ่มพื้นที่การจัดงานในต่างจังหวัด จากปัจจุบันที่ผู้
จำหน่ายรถจักรยานยนต์บิ๊กไบก์ต่าง ๆ เริ่มขยายตลาดสู่ต่างจังหวัด
มีการเปิดโชว์รูมและศูนย์บริการในหัวเมืองใหญ่เพิ่มขึ้น โดยใน

ปี 2556 ที่ผ่านมาได้จัดขึ้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี ภายใต้ชื่อ "สุราษฎร์ธานี
มอเตอร์ไบก์ เฟสติวัล" และในปีนี้จะจัดขึ้นในภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งอยู่ในระหว่างการคัดเลือกวันและสถานที่จัดงาน โดยรูปแบบของงานจะใกล้เคียงกับในกรุงเทพฯ แต่อาจจะมีพื้นที่การจัดงานที่เล็กกว่า ส่วนด้านงบประมาณการจัดงานนั้น เดิมใช้งบประมาณหลักสิบล้านบาท ยังอยู่ในระหว่างการสรุปรายละเอียดอีกครั้ง เนื่องจากอาจจะต้องใช้งบฯเพิ่มขึ้น

สำหรับภาพรวมของตลาดบิ๊กไบก์นั้น นายณัฐพลมองว่าปัจจุบันตลาด
นี้ยังอยู่ในช่วงที่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ยอดขายของหลาย ๆ ค่ายเพิ่มขึ้น
ต่อเนื่องทุกปี ตลาดนี้จึงยังมีโอกาสในการเติบโตอีกมาก จากการที่


ผู้ผลิตหลายรายก็ทยอยเข้ามาตั้งโรงงานในประเทศ ทำให้ลูกค้ามีทาง
เลือกมากขึ้น แต่ราคาจำหน่ายต่ำลง ซึ่งตลาดดังกล่าวแม้สภาพเศรษฐ
กิจ-การเมืองในประเทศจะไม่ดีนัก แต่ก็ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะกลุ่ม
ลูกค้ามีกำลังซื้อสูง
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 17/3/2014 13:27

ขายรถเดือนกุมภาพันธ์ไม่ฉลุย เก๋งกลาง-ใหญ่ แซงอีโคคาร์

รายงานข่าวจากสมาคมหอการค้าญี่ปุ่น หรือเจโท เปิดเผยถึงยอดขาย
รถยนต์เฉพาะแบรนด์ญี่ปุ่นประจำเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า
มียอดขายทั้งสิ้น 71,421 คัน แบ่งเป็นรายยี่ห้อพบว่า โตโยต้า
มียอดขายสูงสุด 27,323 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 38.3%

อันดับ 2 ได้แก่ อีซูซุ 13,416 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 18.8% อันดับ 3
ฮอนด้า 7,469 คันมีส่วนแบ่งตลาด 10.5% อันดับ 4
มิตซูบิชิจำนวน 5,602 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 7.8%
อันดับ 5 นิสสัน 5,111 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 7.2%
อันดับ 6 ฟอร์ด 3,100 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 4.3% อันดับ 7
มาสด้า 2,418 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 3.4% อันดับ 8
เชฟโรเลต 2,200 คันมีส่วนแบ่งรตลาดที่ 3.1% อันดับ 9
ซูซูกิ 1,782 คัน มีส่วนแบ่งตลาด 2.5% และอื่น ๆ 3,000 คัน
มีส่วนแบ่งตลาด 4.2%

เป็นที่น่าสังเกตว่ารถยนต์กลุ่มที่ขายดีสุด กลับเป็นรถยนต์นั่งขนาด
กลางและขนาดใหญ่ แทนที่จะเป็นเก๋งเล็ก หรืออีโคคาร์เหมือนที่
ผ่านมา
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 24/3/2014 10:07

อึ้ง! ภัยร้ายรูปแบบใหม่-โจรขโมยเบาะรถยนต์

ใครจะไปคิดว่ารถยนต์ที่ถูกจอดไว้อย่างดี และไม่มีสิ่งของล่อตาล่อใจโจร
อยู่ภายในรถ ยังอุตส่าห์ถูกงัดประตูเพื่อถอดเบาะนั่งออกไป เสียหาย
มูลค่านับล้านบาท!! นายอดัม แมคเคนซี ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์หรู
Audi RS4 คันหนึ่งในกรุงลอนดอน ต้องตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อตื่นเช้ามา
พบว่ารถของเขาถูกทุบเสียหาย พร้อมทั้ง "เบาะรถยนต์" ทั้งสองข้างยัง
อันตรธานหายไปด้วย ซึ่งกรณีนี้บริษัทประกันฯจะต้องชดใช้ค่าเบาะให้นาย
แมคเคนซี่เป็นจำนวนเงินกว่า 1 ล้านบาทเลยทีเดียว

     นอกจากนั้น หลังจากเกิดเหตุของนายแม็คเคนซี่ได้เพียงสัปดาห์
เดียว ก็มีรถสปอร์ตสองประตู Audi RS5 เวอร์ชั่นเปิดประทุน
ซึ่งใช้พื้นฐานเดียวกับรุ่น RS4 ถูกคนร้ายใช้มีดเฉือนหลังคาผ้าใบเละ
เพื่อถอดเบาะออกไปเช่นกัน

เหตุการณ์ดังกล่าวใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นแต่อย่างใด เนื่องจากช่วงเดือน
กรกฎาคมปีที่แล้ว ช่างภาพมืออาชีพเจ้าของรถออดี้ อาร์เอส 4 อีกคันหนึ่ง
ก็ประสบเหตุลักษณะนี้เช่นกัน

     โชคดีที่เมืองไทยยังไม่ค่อยนิยมรถออดี้เท่าไหร่ ไม่งั้นอาจเจอกรณี
ลักษณะคล้ายๆกันก็เป็นได้
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 28/3/2014 14:59

หน้าร้อน ...ทำอย่างไร? ดูแลเครื่องยนต์ไม่ให้ร้อนเกินไป

ย่างเข้าหน้าร้อน นอกจากอุณหภูมิภายในและภายนอกรถยนต์จะ
ร้อนระอุเมื่อต้องตากแดดแล้ว ความร้อนของเครื่องยนต์ก็เป็นสิ่งที่ต้อง
หมั่นดูแล จากเกจ์วัดความร้อนเครื่องยนต์อย่างสม่ำเสมอ
เมื่อเกจ์ทำงานได้ดีแสดงค่าความร้อนได้ถูกต้อง เมื่อเกจ์วัดแสดงค่า
ความร้อนสูงขึ้นมากกว่าปกติ ก็ย่อมแสดงให้เห็นถึงความผิดปกติ
ของระบบระบายความร้อนของรถยนต์ด้วย
ถ้าระบบระบายความร้อนของเครื่องยนต์ผิดปกติ จะได้ป้องกัน
อันตรายที่เกิดขึ้นกับเครื่องยนต์ได้ทันท่วงทีและซ่อมบำรุงได้ถูก
จุดก่อนจะลุกลามเป็นปัญหาที่บานปลาย

     ระบบระบายความร้อนของรถใหม่ๆ มักไม่ค่อยมีปัญหาอาจไม่
ต้องระวังอะไรมากนัก แค่หมั่นถ่ายน้ำตามกำหนด และหมั่นดูแล
ระดับน้ำให้พอดีเท่านั้นก็พอ แต่รถที่มีอายุมากขึ้น ต้องการการ
ดูแลมากขึ้นด้วยเช่นกัน การดูแลและป้องกันเครื่องยนต์ร้อนเกินปกติ (OVERHEATED) มี 5 วิธีทำได้ดังนี้


     1. หมั่นดูแลหม้อน้ำ หาจุดรั่ว และดูสภาพรังผึ้งให้อยู่ในสภาพปกติ
สามารถระบายความร้อนได้ดี ไม่มีอะไรมาบังทางลม เพราะหม้อน้ำเป็น
อุปกรณ์ที่ถ่ายเทความร้อนจากน้ำไปสู่อากาศถ้าหม้อน้ำระบายถ่ายเท
ความร้อนไม่ดี ก็ทำให้เครื่องยนต์ร้อนและผิดปกติได้
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 31/3/2014 14:12

2. วาล์วน้ำ เป็นอุปกรณ์อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญ วาล์วน้ำเป็นอุปกรณ์
ควบคุมความร้อนของเครื่องยนต์ ไม่ให้อุณหภูมิต่ำเกินไป แต่เมื่อ
อุณหภูมิถึงจุดที่กำหนด วาล์วน้ำจะเปิดออกให้น้ำไหลเวียนมาระบาย
ความร้อนที่หม้อน้ำ แต่ถ้าวาล์วน้ำไม่ยอมเปิด หรือปิดค้าง น้ำก็ไม่มา
ระบายความร้อนที่หม้อน้ำก็ทำให้เครื่องร้อนผิดปกติและพังได้

     3. ถ่ายน้ำในหม้อน้ำสม่ำเสมอ การถ่ายน้ำนี้ไม่ใช้แค่เปิดก๊อกแล้ว
เติมน้ำใหม่ แต่เราต้องเติมน้ำยาสำหรับหม้อน้ำลงไปด้วย

     4. น้ำมันเครื่อง ก็เป็นต้นเหตุของความร้อนได้เช่นกัน ถ้าคุณภาพ
ไม่ดีพอ หรือปริมาณไม่เพียงพอ เพราะน้ำมันเครื่องมีหน้าที่ลดการ
เสียดสีในเครื่องยนต์ ถ้าทำหน้าที่ได้ไม่ดี ความร้อนก็จะตามมา

     5. น้ำมันเชื้อเพลิง บางคนคิดว่าการจูนน้ำมันให้บาง (น้ำมันน้อย
กว่าอากาศ) แล้วจะประหยัด ถึงจะประหยัด แต่ก็ได้ไม่มาก จะแถม
ความร้อนให้เราแทน เพราะถ้าน้ำมันบาง เครื่องจะร้อน การจูนน้ำมัน
ให้บาง ไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับเครื่องยนต์สักเท่าไหร่ การจูนที่พอ
เหมาะจึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดมากกว่า
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 2/4/2014 09:36

อุตะ...คนแก่ ขับรถปลอดภัยกว่าคนทุกวัย!!!

     พูดกันมาสักพักแล้วว่า โลกในอนาคตน่าเป็นห่วง เพราะน่าจะเต็มไป
ด้วยประชากรสูงวัย ที่เป็นผลพวงมาจาก หนุ่มสาวทุกวันนี้ ไม่ค่อย
แต่งงาน มีลูกกัน ดูอย่างที่สหรัฐอเมริกา ก็มีการคาดการณ์ว่า อีก 36 ปี
ข้างหน้า หรือปี พ.ศ.2593 สหรัฐอเมริกาจะมีคนชราที่มีอายุ 70 ปี หรือ
มากกว่านั้น ราว 64 ล้านคน คิดเป็น 16% ของประชากรทั้งหมดในประเทศ
คำถามหนึ่ง ที่มีคน(แอบ)กังวลกันก็คือ เมื่อถึงวันที่ "คนแก่ครองเมือง"
วันนั้น อุบัติเหตุบนท้องถนน ไม่พุ่งสูงปรี๊ด เชียวหรือ?

     ใครที่แอบคิดเช่นนั้นอยู่ ขอบอกว่า คุณกำลังคิดผิดมหันต์

     อย่างน้อยวันนี้ที่สหรัฐอเมริกาก็มีผลสำรวจจากสถาบันประกันความ
ปลอดภัยบนทางหลวง ที่สุ่มสำรวจเก็บข้อมูลมาร่วม 10 ปี ออกมายืนยัน
แล้วว่า กลุ่มคนชราที่มีอายุ 70 ปี หรือมากกว่านั้น ที่ยังขับขี่รถยนต์
กลับเป็นกลุ่มคนที่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนลดลงมากที่สุดตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา หรือหากเกิดอุบัติเหตุ ก็ไม่มีการบาดเจ็บรุนแรง หรือถึงขั้นเสียชีวิต ขณะที่กลุ่มผู้ขับขี่วัยกลางคนอายุระหว่าง 35-54 ปี ยังก่ออุบัติเหตุ
มากกว่าคนชราภาพซะอีก

     และที่น่า "ช็อกเว่อร์" ก็คือ กลุ่มคนชราอายุ 80 ปี หรือมากปีกว่านั้น
คือกลุ่มผู้ขับขี่ที่มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนลดลงมากที่สุด
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 7/4/2014 14:13

ทั้งนี้ ในผลสำรวจบอกถึง เหตุผลที่ทำให้อุบัติเหตุทางรถยนต์ใน
กลุ่มครชราลดลงว่า เป็นผลมาจาก ปัจจุบันรถยนต์มีอุปกรณ์ และระบบ
รักษาความปลอดภัยดีขึ้น ขณะที่คนชราทุกวันนี้ก็มีสุขภาพแข็งแรงดีขึ้น
แข็งแรงขึ้นกว่าในอดีต

     "ผลสำรวจที่ได้ น่าจะช่วยคลายความกลัวว่า ประชากรยุคเบบี้
บูมจะเป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยบนท้องถนนลงได้" แอนน์
แมคคาร์ท รองประธานอาวุโสของ สถาบันประกันความปลอดภัยบน
ทางหลวงกล่าว

     สำหรับใครที่คิดว่า ที่อุบัติเหตุลดลงน่าจะเป็นเพราะคนชราไม่
ค่อยขับรถ หรือขับรถกันน้อยลง เรื่องนี้ แอนน์ แมคคาร์ท บอกว่า
ไม่ใช่เลย ทั้งยืนยันว่าคนชราขับรถบ่อยกว่าในอดีตด้วยซ้ำ โดยเฉพาะ
กลุ่มคนชราวัย 75 อัพ ปรากฏว่าจากการสำรวจระหว่างปี 2538-2551
พบว่า ขับรถเพิ่มขึ้นถึง 50% แต่หากนำไปเปรียบเทียบกับกลุ่มคนวัย
กลางคน กลุ่มคนชราก็ต้องขับรถน้อยกว่าแน่นอนอยู่แล้ว

     "จากข้อเท็จจริง ที่เราพบว่าคนชราขับรถกันมากขึ้น นั่นก็อาจชี้ให้เห็นได้ว่า พวกเขายังมีสุขภาพแข็งแรง และยังสบายใจในทักษะการขับขี่รถของตน"

      อย่างไรก็ตาม แอนน์ แมคคาร์ท บอกว่า แม้กลุ่มคนชราจะขับรถมาก
ขึ้น แต่คนกลุ่มนี้ก็จะเลือกไม่ขับรถทางไกล ไม่ขับรถช่วงกลางคืน
และไม่ขับรถในชั่วโมงเร่งด่วน ซึ่งน่าจะมีส่วนทำให้อุบัติเหตุลดลงด้วย
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 10/4/2014 10:18

ไขปริศนา! นอนในรถอาจถึงตาย..เพราะอะไร?

ปัจจุบันเรามักได้ยินข่าวอยู่บ่อยๆ เกี่ยวกับการจอดรถติดเครื่องเพื่อเปิด
เครื่องปรับอากาศทิ้งไว้แล้วงีบหลับ จนเป็นเหตุให้เสียชีวิตในที่สุด
คุณผู้อ่านสงสัยไหมครับว่า ทำไมระบบปรับอากาศจึงเป็นอันตรายเฉพาะ
เวลาจอดรถนิ่งๆ แต่ไม่เป็นอันตรายขณะขับขี่ ว่าไปแล้ว หากผู้ขับขี่มี
อาการง่วงซึมไม่ว่าจะขับระยะทางใกล้หรือไกล การงีบหลับซักครู่ถือเป็น
ทางออกที่ดีในการเดินทางต่อไปอย่างปลอดภัย แต่รู้ไหมครับว่า
ระบบปรับอากาศของรถที่จอดนิ่งๆ กลับมีอันตรายกว่าขณะที่รถกำลังขับ
เคลื่อน ซึ่งอันตรายที่ว่านั้น ไม่ใช่จากระบบเครื่องปรับอากาศของรถยนต์
โดยตรง แต่เป็นมลพิษที่ออกมาจากท่อไอเสียนั่นเอง
แต่คุณผู้อ่านสงสัยหรือไม่ครับว่า ควันจากท่อไอเสียนั้นเข้ามาในห้อง
โดยสารได้อย่างไร..?

     เรามักเข้าใจว่าระบบปรับอากาศในรถยนต์นั้นเป็นระบบปิดและ
หมุนเวียนภายในห้องโดยสาร 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ในความเป็นจริง
แม้เราจะกดปุ่มเพื่อให้อากาศหมุนเวียนแล้ว แต่พัดลมแอร์ก็ยังดูด
อากาศภายนอกบางส่วนเข้ามา (จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเราจึงได้กลิ่น
จากภายนอกเมื่อเราขับรถผ่านควันเผาเศษขยะข้างทาง) ซึ่งถ้ารถยนต์
มีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดนั้น พัดลมดังกล่าวก็จะดูดอากาศบริสุทธิ์เข้ามา
(หรืออากาศที่ไม่อยู่ในระดับที่เป็นพิษ) ไม่ทำอันตรายต่อผู้โดยสาร
ภายในรถ
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 16/4/2014 14:18

แต่ในทางกลับกัน หากจอดรถยนต์นิ่งๆแล้วปิดกระจกหน้าต่างทึบทั้ง 4
บาน พร้อมทั้งสตาร์ทเครื่องยนต์และเปิดแอร์ทิ้งไว้ ก็จะกลายเป็น
สาเหตุให้อากาศจากท่อไอเสียโชยมายังบริเวณพัดลมแอร์ และถูกดูด
เข้าไปยังห้องโดยสารทีละน้อยๆอย่างไม่รู้ตัว ทำให้ห้องโดยสารมีก๊าซ
คาร์บอนมอนอกไซด์เพิ่มขึ้นจนอยู่ในระดับที่เป็นพิษ โดยร่างกายจะรับ
สารดังกล่าวเข้าไปทีละน้อยจนเป็นเหตุให้ขาดออกซิเจน เป็นเหตุให้เสีย
ชีวิตในที่สุด

     ทางที่ดี หากรู้สึกมีอาการง่วงซึมขณะขับรถ ก็ควรจะจอดแวะล้างหน้า
ล้างตา หรือดื่มกาแฟ หรือถ้าต้องการงีบหลับในรถยนต์ ก็ควรจอดรถในที่
ที่ปลอดภัย เช่น ปั๊มน้ำมันหรือที่ที่มีคนพลุกพล่าน จากนั้นให้ดับเครื่องยนต์แล้วใช้วีธีแง้มกระจกลงเล็กน้อยทั้งสี่บาน เพื่อให้มีอากาศ
ถ่ายเท และควรล็อครถไว้เพื่อป้องกันผู้ไม่หวังดี ทางที่ดีควรตั้งเวลาปลุก
ไว้ประมาณ 10-15 นาที ซึ่งน่าจะเพียงพอแล้วเพื่อให้หายอ่อนเพลีย
และพร้อมจะเดินทางต่อไปโดยสวัสดิภาพ


     เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับเทคนิคดีดีที่เรานำมาฝากกัน หวังว่าจะ
เป็นประโยชน์สำหรับการเดินทางไกลของคุณผู้อ่าน โดยเฉพาะช่วง
เทศกาลสงกรานต์ที่จะถึงนี้ครับ
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 21/4/2014 09:21

เทคนิคการล้างรถหลังสงกรานต์ 2557

ขั้นแรก ควรใช้น้ำเปล่าล้างรถเสียก่อน 1 รอบ โดยใช้สายยางฉีดน้ำไป
รอบๆเพื่อให้คราบดินสอพองอ่อนตัว พร้อมกับใช้ฟองน้ำถูอย่างเบาๆ
นอกจากนั้นยังควรล้างฟองน้ำเป็นระยะๆ เพื่อไม่ให้คราบสกปรกบนฟองน้ำ
ทำร้ายสีบนตัวถังรถนั่นเองจากนั้นจึงล้างด้วยแชมพูล้างรถ หรือ น้ำเปล่า
ซ้ำตามปกติ แล้วจึงเช็ดให้แห้ง

     ทางที่ดีควรล้างรถทันทีที่มีโอกาส ไม่ควรปล่อยคราบดินสอพอง
ทิ้งไว้ นิเช่นนั้นอาจเกิดรอยด่างได้หลังจากที่คุณผู้อ่านขับรถตระเวน
เที่ยววันหยุดสงกรานต์ 2557 อย่างอิ่มหนำสำราญกันแล้ว รถสุดรักของ
คุณผู้อ่านอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเผชิญกับ คราบดินสอพองขาว
โพลนติดอยู่รอบตัวรถ แต่คุณผู้อ่านรู้ไหมครับว่าครายดินสอพองดังกล่าว
อาจทำร้ายสีของตัวถังรถได้

ขั้นที่สอง หากคุณผู้อ่านใช้รถไปในการเล่นน้ำช่วงสงกรานต์ (เช่น รถกระบะที่บรรทุกถังน้ำและผู้โดยสารเพื่อเล่นน้ำ) ภายในรถของคุณผู้อ่านอาจมีโอกาสเปียกชื้นสูง ทางที่ดีจึงควรไล่ความอับชื้นภายในรถ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งหมักหมมของเชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรก อันเป็นต้นเหตุของกลิ่นอับภายในรถ

     วิธีการคือ หาที่จอดรถโล่งๆกลางแดด ถอดผ้ายางปูพื้นหรือพรมออก
จากรถ แล้วเปิดประตูทิ้งไว้กลางแดดสัก 2-3 ชั่วโมง เพื่อขจัดความชื้น
ในตัวรถออกไป

นอกจากนั้น ภายหลังจากที่คุณผู้อ่านเดินทางกลับจากการขับรถระยะ
ทางไกลๆแล้ว ก็ควรเช็คสภาพรถเบื้องต้น ด้วยการตรวจเช็คอย่างง่ายๆ
เริ่มตั้งแต่การฟังเครื่องยนต์ ว่ามีเสียงผิดปกติดังขึ้นหรือไม่ ตรวจเช็ค
สภาพยางว่าไม่มีจุดใดรั่วซึม เช็คความดันลมยาง

     ตรวจเช็คระดับของเหลวต่างๆ ตั้งแต่ น้ำมันเครื่อง, น้ำมันเกียร์,
น้ำมันเบรค, น้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ ฯลฯ หากพบว่ามีระดับพร่องกว่า
ปกติ ก็ควรเติมให้เรียบร้อย หรือ หากพบว่าน้ำมันเปลี่ยนเป็นสีดำ ผิดจาก
ก่อนเริ่มเดินทาง ก็ควรเปลี่ยนถ่ายใหม่ให้เรียบร้อย เพราะการเปลี่ยนถ่าย
ของเหลวก่อนกำหนดถือเป็นการช่วยถนอมเครื่องยนต์ไปในตัว

     เพียงเท่านี้ รถสุดรักของคุณผู้อ่านก็จะยังคงมีสภาพเหมือนใหม่
ดังเดิมครับ
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 23/4/2014 11:03

คืนภาษีรถคันแรกเคว้ง

สรรพสามิตยอมรับงบไม่พอจ่ายคืนภาษีรถคันแรก ต้องรอจัดสรรเงินรอบใหม่
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ประชาชนที่ได้รับสิทธิคืนภาษี
โครงการรถคันแรกในช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย. 2557 อาจได้รับเงินคืนล่าช้าออกไป
เนื่องจากวงเงินงบประมาณปี 2557 ที่ตั้งไว้จ่ายคืนเงินให้ผู้ได้รับสิทธิ 4 หมื่นล้านบาท
ได้ทยอยโอนให้ผู้ที่ได้รับสิทธิหลังครอบครองรถครบ 1 ปีไปแล้วกว่า 3.07 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ ทำให้มีเงินเหลือจ่ายเพียง 9,217 ล้านบาท ซึ่งจะรองรับการจ่ายเงินภาษีคืนใน
ช่วง 2 เดือนหลังจากนี้เท่านั้น หรือไม่เกินเดือน มิ.ย. เงินก็จะหมด เพราะกรมสรรพสามิต
สามารถจ่ายเงินคืนได้เฉลี่ยเดือนละ 4,000-5,000 ล้านบาท ดังนั้นผู้มีสิทธิได้คืนภาษี
กลุ่มนี้ต้องรอการจัดสรรเงินรอบใหม่

“คาดว่ายอดคืนภาษีของปีงบ 2557 นี้อาจมากกว่า 5 หมื่นล้านบาท หากงบก้อนแรก
หมดคงต้องรอเงินรอบใหม่ แต่ช่วงรัฐบาลรักษาการการจัดสรรเงินล่าช้าและมีขั้นตอนนาน
เพราะต้องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง” แหล่งข่าวเปิดเผย
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 28/4/2014 09:55

สำหรับแนวทางการจัดสรรเงินมาจ่ายคืนเงินภาษีให้ผู้ได้รับสิทธิมี 2 แนวทาง คือ
กันเงินจากการเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตมาใช้ก่อน โดยในปีงบประมาณ 2557
ตั้งเป้าหมายเก็บภาษีไว้ 4.6 แสนล้านบาท หรือจะดึงเงินจากเงินคงคลัง
เหมือนปีงบประมาณ 2556 โดยใช้อำนาจของ รมว.คลังลงนาม แต่จะต้องใช้คืน
ในปีงบประมาณถัดไปอย่างไรก็ตาม ยอดการคืนเงินภาษีรถคันแรกยอดล่าสุด
ณ เดือน มี.ค. 2557 อยู่ที่ 9.01 แสนรายคิดเป็นเงิน 6.33 หมื่นล้านบาท
จากยอดผู้เข้าโครงการทั้งหมด 1.25 ล้านราย คิดเป็นวงเงิน 9.21 หมื่นล้านบาท
และในวันที่ 9 เม.ย.นี้จะโอนเงินให้ผู้ได้รับสิทธิอีก 5.37 หมื่นราย วงเงิน 4,082 ล้านบาท

ด้าน นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่างานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล
มอเตอร์โชว์ 2014 ที่ผ่านมา มียอดจองซื้อรถยนต์กว่า 4 หมื่นคัน ยอดนี้จะสามารถจัดเก็บ
ภาษีรถยนต์ได้มากกว่า 4,000 ล้านบาท
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 30/4/2014 10:48

ผู้บริโภคฟ้อง"เชฟโรเลต"เกียร์ขัดข้อง

กลุ่มผู้บริโภคฟ้อง "เชฟโรเลต" ต่อศาลแพ่ง เรียกเงินชดเชยคืนเต็มจำนวน เหตุเกียร์ขัดข้อง

วันที่ 22 เม.ย. ผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายจากการใช้รถยนต์ยี่ห้อเชฟโรเลต รุ่นครูซ
จำนวน 7 ราย ยื่นฟ้องบริษัทเชฟโรเลต ต่อศาลแพ่ง เพื่อให้ศาลมีคำสั่ง ให้บริษัทคืนเงินดาวน์
และค่างวดเช่าซื้อที่ชำระไปแล้วทั้งหมด เนื่องจากผลการทดสอบรถยนต์ของสำนักงานคุ้มครอง
ผู้บริโภค (สคบ.) พบปัญหาที่เป็นอันตรายต่อการขับขี่ อาทิ เกียร์กระตุก ติดขัด
โดยรถคันที่พบอาการซ้ำๆ ติดต่อกันมากที่สุดคือ 38 ครั้ง

นอกจากนี้ ผู้เสียหายยังร้องให้ศาลมีคำสั่ง ขอให้บริษัทรับผิดชอบค่าใช้สอยรถยนต์
ต่อผู้ให้เช่าซื้อเต็มจำนวนแทนผู้บริโภค และให้ศาลห้ามบริษัทจำหน่ายรถยนต์รุ่นที่
กำลังมีข้อพิพาท และเรียกเก็บสินค้าจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงให้ปลอดภัย
พร้อมกันนี้ให้จ่านค่าเสียหายต่อจิตใจที่ต้องหวาดกลัวกังวลในขณะใช้รถที่มีปัญหา
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 2/5/2014 13:45

นายมงคล ปุรณมณีวิวัฒน์ 1 ใน 7 ผู้เสียหายที่ยื่นฟ้อง เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาไม่เคย
ได้พูดคุยกับบริษัทเชฟโรเลต เนื่องจากสคบ.เป็นคนกลางไกล่เกลี่ย และ สคบ.
มีเกณฑ์ชดเชยอยู่แล้ว แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือเรายอมรับวิธีการให้บริษัทซื้อรถคืน
แต่รับไม่ได้กับเกณฑ์ราคา เนื่องจาก สคบ.กำหนดหักค่าเสื่อมรถสูงถึง 40%
นั่นหมายความว่าราคาที่ผู้เสียหายได้รับต่ำกว่าเอารถไปขายเตนท์มือ 2

"นี่ไม่ใช่ความผิดของเรา ผู้บริโภคซื้อรถป้ายแดงก็หวังใช้ได้ 5-10 ปี
แต่ใช้เพียงแค่ 1 ปีกว่ากลับชำรุดบกพร่อง ผมซื้อรถมา 8.7 แสนบาท
เขาซื้อคืนเพียง 5.7 แสนบาท ทั้งที่เราไม่ได้ผิดอะไรเลย"
นายมงคล กล่าว
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 6/5/2014 09:51

บก.02 ย้ำชัด ตร.สามารถยึดใบขับขี่ได้

บก.02 ระบุกรณีผู้ขับขี่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฎิบัติตามกฎหมาย พนักงานจราจรสามารถเรียกเก็บ
ใบขับขี่ชั่วคราวได้ แต่ต้องออกใบรับแทนใบอนุญาตขับขี่ให้แก่ผู้ขับขี่ไว้ เมื่อผู้ขับขี่ชำระ
ค่าปรับตามที่เปรียบเทียบแล้ว ให้คืนใบอนุญาตขับขี่ทันทีศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจร
หรือ บก.02 โพสต์ข้อความยืนยันกรณีที่ผู้ขับขี่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฏหมาย  
ในการออกใบสั่งเจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่จะเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้
เป็นการชั่วคราวก็ได้ แต่ต้องออกใบรับแทนใบอนุญาตขับขี่ให้แก่ผู้ขับขี่ไว้ และเจ้าพนักงาน
จราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องรีบนำใบอนุญาตขับขี่ที่เรียกเก็บไว้ไปส่งมอบพนักงาน
สอบสวนภายใน 8 ชั่วโมง นับแต่เวลาที่ออกใบสั่งใบรับแทนใบอนุญาตขับขี่

    เมื่อเจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือพนักงานสอบสวนได้ว่ากล่าวตักเตือน
หรือทำการเปรียบเทียบปรับและผู้ขับขี่ได้ชำระค่าปรับตามที่เปรียบเทียบแล้ว
ให้คืนใบอนุญาตขับขี่ทันที รายละเอียดทั้งหมด มีดังนี้


     "แชร์กันมาเป็นสิบๆปีแล้ว กฏหมายมีระบุไว้ชัดครับ ต้องคอยตอบทุกวัน"

     "มาตรา ๑๔๐ เมื่อเจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่พบว่าผู้ขับขี่ผู้ใดฝ่าฝืน
หรือไม่ปฏิบัติตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้ หรือกฎหมายอันเกี่ยวกับรถนั้นๆ จะว่ากล่าว
ตักเตือนผู้ขับขี่ หรือออกใบสั่งให้ผู้ขับขี่ชำระค่าปรับตามที่เปรียบเทียบก็ได้ ในกรณีที่ไม่
พบตัวผู้ขับขี่ก็ให้ติดหรือผูกใบสั่งไว้ที่รถที่ผู้ขับขี่เห็นได้ง่าย"

     "สำหรับความผิดที่กำหนดไว้ในมาตรา ๑๕๗/๑ มาตรา ๑๕๙ มาตรา ๑๖๐
มาตรา ๑๖๐ ทวิ และมาตรา ๑๖๐ ตรี ห้ามมิให้ว่ากล่าวตักเตือนหรือทำการเปรียบเทียบ"
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 8/5/2014 11:48

"ในการออกใบสั่งให้ผู้ขับขี่ชำระค่าปรับตามที่เปรียบเทียบตามวรรคหนึ่งเจ้าพนักงานจราจร
หรือพนักงานเจ้าหน้าที่จะเรียกเก็บใบอนุญาตขับขี่ไว้เป็นการชั่วคราวก็ได้ แต่ต้องออกใบรับ
แทนใบอนุญาตขับขี่ให้แก่ผู้ขับขี่ไว้ และเจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ต้องรีบนำ
ใบอนุญาตขับขี่ที่เรียกเก็บไว้ไปส่งมอบพนักงานสอบสวนภายในแปดชั่วโมง
นับแต่เวลาที่ออกใบสั่ง""ใบรับแทนใบอนุญาตขับขี่ที่ออกให้ตามวรรคสามให้ใช้แทน
ใบอนุญาตขับขี่ได้เป็นการชั่วคราวไม่เกินเจ็ดวัน เมื่อเจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่
หรือพนักงานสอบสวนได้ว่ากล่าวตักเตือนหรือทำการเปรียบเทียบปรับและผู้ขับขี่ได้ชำระ
ค่าปรับตามที่เปรียบเทียบแล้ว ให้คืนใบอนุญาตขับขี่ทันที"

"ในกรณีเจ้าพนักงานจราจรหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ออกใบสั่งแต่ไม่พบตัวผู้ขับขี่
ให้สันนิษฐานว่าเจ้าของรถหรือผู้ครอบครองรถเป็นผู้กระทำผิดดังกล่าวเว้นแต่สามารถ
พิสูจน์ได้ว่าผู้อื่นเป็นผู้ขับขี่การกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบ
ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกำหนด"
"ใบสั่งและใบรับแทนใบอนุญาตขับขี่ ให้ทำตามแบบที่เจ้าพนักงานจราจรกำหนด"


ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 12/5/2014 10:49

โตโยต้าเรียกคืนรถ4.6ล้านคันทั่วโลก

โตโยต้าเรียกคืนรถ 6.4 ล้านคันทั่วโลก หลังพบปัญหาเรื่องความปลอดภัย

โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป บริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น ประกาศเรียกคืนรถ 6.39 ล้านคัน
ทั่วโลก ในรุ่น RAV4,Hilux, Yaris และ Urban Cruiser หลังพบปัญหาที่ชิ้นส่วนหลายจุด
เช่น ที่นั่งคนขับ แกนพวงมาลัย และตัวสตาร์ทเครื่องยนต์

ทั้งนี้ รถที่เข้าข่ายมีปัญหาเป็นรถที่ผลิตในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แยกเป็นรถในญี่ปุ่น 1.08 ล้านคัน
อเมริกาเหนือ 2.3 ล้านคัน ยุโรป 770,000 คัน และจีน 62,000 คัน โดยโตโยต้าเผยด้วยว่า
ได้รับรายงานเรื่องตัวสตาร์ทเครื่องยนต์เกิดไฟไหม้แต่ไม่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุใดๆ

ขณะที่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ชี้แจงถึงกรณีดังกล่าวว่า การเรียกรถยนต์คืนเพื่อ
เปลี่ยนชุดประกอบสายไฟที่เชื่อมต่อถุงลมนิรภัย (Spiral Cable) หลังตรวจพบความผิดปกติของ
ชุดสายไฟดังกล่าวที่อาจส่งผลให้สัญญาณเตือนถุงลมนิรภัยแสดงบนหน้าปัด เป็นการแสดงถึงความ
เอาใจใส่และความรับผิดชอบต่อคุณภาพผลิตภัณฑ์ แม้ปัญหาดังกล่าวจะยังไม่เกิดขึ้นกับลูกค้า
ในประเทศไทย
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 14/5/2014 11:07

นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย
เปิดเผยว่า กรณีการเรียกรถเพื่อมาเปลี่ยนชุดประกอบสายไฟที่เชื่อมต่อถุงลมนิรภัยนั้น จากการตรวจสอบพบว่ามี
รถยนต์โตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้ ฟอร์จูนเนอร์ และ อินโนวา ที่จำหน่ายในประเทศไทย ระหว่างปี 2547
ถึงปี 2553 ประมาณ 2.06 แสนคัน ที่ต้องเข้ารับการเปลี่ยนชุดประกอบสายไฟใหม่ โดยบริษัทฯจะทำ
การส่งจดหมายเชิญลูกค้ากลุ่มดังกล่าว เพื่อให้นำรถยนต์เข้ารับการแก้ไขที่ศูนย์ บริการของผู้แทนจำหน่าย
โตโยต้าทั่วประเทศ   ก่อนหน้านี้ โตโยต้า เคยเรียกคืนรถ 7.43 ล้านคันทั่วโลกมาแล้ว เมื่อปี 2555
หลังพบปัญหาจากอุปกรณ์ที่อาจเสี่ยงเกิดไฟไหม้ ในจำนวนนี้มีรถตระกูลยอดนิยมอย่างคัมรี่และโคโรลลาด้วย
โดยล่าสุดเมื่อเดือนก่อนโตโยต้ายอมจ่ายเงิน 1,200  ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อยอมความคดีอาญา
ในสหรัฐข้อหาโกหกเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยและสาธารณชนจากการพยายามปกปิดเรื่องคันเร่งมีปัญหา
ไม่สามารถควบคุมได้
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 16/5/2014 14:53

ความเจ็บปวดจากรถคันแรก

นโยบายประชานิยมของพรรคเพื่อไทย ที่โดดเด่นนอกเหนือไปจากจำนำข้าว ก็มี คืนภาษีรถคันแรก
อีกอันที่พูดกันติดปาก ถึงวันนี้ประจักษ์แล้วว่า ทั้ง 2 นโยบาย มีข้อดีแค่กระตุ้นการหาเสียง
ทำให้พรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลสมใจ แต่ผลกระทบด้านลบที่ตามมามากมายมหาศาล
ขออนุญาตข้ามจำนำข้าวไปก่อนนะครับ เอาเรื่องคืนภาษีรถคันแรกอย่างเดียวก่อน
     
     เป้าหมายเดิมนโยบายนี้ผมจำได้ว่ากระทรวงอุตสาหกรรมบอกว่าจะช่วยกระตุ้นการ
ขายรถยนต์ได้ถึง 5 แสนคัน แต่เอาเข้าจริง ปาเข้าไปเป็นล้านคัน ก็ธรรมชาติคนไทย
อยากมีรถ มองรถยนต์เป็นแอสเซต พอมีช่องทาง จังหวะ โอกาส ก็ขอครอบครอง
ไว้ก่อนลืมผลกระทบทุกอย่างที่จะตามมา ระหว่างทางของโครงการรถคันแรกมีเรื่องราววุ่นวายมากมาย

     แต่ที่ยุ่งเหยิงมากที่สุดก็คือโครงการนี้มีระยะเวลาสิ้นสุดคือต้องจับจองซื้อหาก่อนสิ้นปี 2555
แต่ไม่กำหนดระยะเวลารับรถ จุดนี้เองที่ทำให้ตัวเลขผู้ขอใช้สิทธิ์ในโครงการ ทะลุเกินล้านคน
ที่สำคัญผ่านมาปีกว่าแล้ว ก็ยังส่งมอบกันไม่ครบสักที วันก่อน กรมสรรพสามิตรายงานข้อมูล
โครงการรถยนต์คันแรก ณ วันที่ 27 เมษายน 2557 บอกว่าตั้งแต่ดำเนินโครงการ
มีผู้ขอใช้สิทธิ์จำนวน 1,259,101 ราย คิดเป็นเงิน 92,811 ล้านบาท มีผู้ยกเลิกการใช้สิทธิ์ 10,235 ราย
และไม่ได้รับสิทธิ์ เนื่องจากไม่เข้าเงื่อนไข 4,336 ราย
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 19/5/2014 10:42

มีผู้อยู่ในสถานะรับสิทธิ์ 1,244,530 ราย คิดเป็นเงิน 91,799 ล้านบาทมีผู้เข้าร่วมโครงการซื้อรถยนต์เป็นเงินสด
คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.32 และสินเชื่อร้อยละ 84.64งบประมาณที่ได้รับในปี 2556 มีจำนวน 7,280 ล้านบาท
เงินคงคลัง 25,000 ล้านบาท ในปี 2557 กรมสรรพสามิตได้จัดสรรงบประมาณ 40,000 ล้านบาทในปี 2558
กรมสรรพสามิตได้ขอรับการจัดสรรงบประมาณ 25,000 ล้านบาทมีผู้ได้รับเงินแล้วจำนวน 938,718 ราย
คิดเป็นเงิน 67,434 ล้านบาทจำนวนผู้ที่ได้รับรถแล้ว 1,128,118 ราย ยังคงเหลือผู้ที่ยังไม่ได้รับรถยนต์ 116,412 ราย
หรือคิดเป็นร้อยละ 9.35 มีลีสซิ่งขอปลดล็อกและแจ้งอายัดรถยนต์ 1,449 ราย เป็นจำนวนเงิน 85,862,817 บาท
โดยกรมสรรพสามิตได้จ่ายเงินคืนแล้ว 849 ราย เป็นจำนวนเงิน 47,616,987 บาทและยังไม่ได้จ่ายเงินคืน 600 ราย
เป็นจำนวนเงิน 38,245,830 บาท

ปัจจุบันมีผู้ขอใช้สิทธิ์ตามโครงการรถยนต์คันแรก ที่กรมสรรพสามิตจะต้องติดตามเรียกเงินคืนมีจำนวนทั้งสิ้น 314 ราย
เห็นข้อมูลแล้ว เหนื่อยใจแทนรัฐบาล โดยเฉพาะเม็ดเงินงบประมาณเยอะอย่างบอกไม่ถูก อีกอย่างคือ จำนวนผู้ที่ยัง
ไม่ได้รับรถเรื่องงบประมาณปลายเดือนที่แล้วก็เพิ่งมีข่าว รัฐถังแตก จะจ่ายเงินคืนภาษีได้แค่เดือนมิถุนายนเท่านั้น
คนที่ยังไม่ได้เงินคืน ให้รอไปก่อน
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 21/5/2014 11:22

วันก่อนเจอผู้บริหารระดับสูงค่ายรถยนต์ระบายให้ฟังถึงนโยบายรถคันแรก ว่าสร้างความเจ็บปวด
และรอยร้าวให้กับอุตสาหกรรมรถยนต์เยอะแยะ กระทบกันเป็นลูกโซ่ และที่ตลาดรถยนต์ปั่นป่วนมา
ถึงทุกวันนี้ ก็เพราะไอ้รถคันแรกนี่แหละ

จริงๆ การกระตุ้นตลาด มันต้องทำตอนที่ตลาดไม่ดี กราฟธุรกิจปักหัวลง นโยบายรถคันแรก
มันผิดที่ ผิดเวลา

ช่วงเริ่มโครงการ อุตสาหกรรมกำลัง Pick Up ตลาดรวมต่อปีก็ประมาณล้านคัน ซึ่งถ้าปล่อยให้มันเป็นไป
ตลาดก็เติบโตไปได้อย่างต่อเนื่อง แต่ตลาดรถยนต์ปี 2555 ที่มีโครงการรถคันแรกแทรกอยู่ ทะลุไปถึง 1.4 ล้านคัน

ยอดขายที่พรวดพราดเพิ่มขึ้น ค่ายรถก็ตะลีตะลานเพิ่มกำลังผลิตกันอุตลุด ลืมนึกถึงอนาคตทั้ง ๆ
ที่รู้ว่าตลาดมันถูกบิดเบือน พอสิ้นสุดแคมเปญ ตลาดทรุดตัวฮวบฮาบ เพราะกำลังซื้อถูกดึงไปใช้ล่วงหน้า
เอาละซิทีนี้ สต๊อกเหลือกันบานเบอะ คนที่ซวยก็หนีไม่พ้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้งหมดตั้งแต่ผู้ผลิตชิ้นส่วน
ดีลเลอร์ขายรถ ไฟแนนซ์ พันกันไปทั้งระบบ

ปีที่แล้ว เราได้เห็นการเทกระจาดขายรถ แบบไม่คำนึงถึงต้นทุนมาแล้ว ปีนี้ก็คงได้เห็นกันอีก
เพราะผลกระทบที่ยังไม่ทุเลา ไม่เว้นแม้กระทั่งคนซื้อรถ ช่วงแรกอาจจะแฮปปี้กับเงินคืน 6 หมื่นถึงแสนบาท
แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ปล่อยรถถูกยึดเพราะขาดแรงส่งต่อ

ส่วนคนซื้อที่พอมีแรงตอนนี้อยากเปลี่ยนรถ เพราะเงื่อนไขที่ค่ายรถหยิบยื่นให้มันเร้าใจเหลือเกินก็ทำไม่ได้
เจอกับดักต้องครอบครองรถครบ 5 ปี ถึงวันนี้ ยังมาไม่ถึงครึ่ง และที่แน่ ๆ ปีนี้เราคงได้เห็นตัวเลขขายรถยนต์ต่ำกว่าล้านคัน

เหล่านี้คือความเจ็บปวด ที่ได้จากโครงการรถคันแรก

ขอบคุณเนื้อหาจาก คอลัมน์ ชั้น 5 ประชาชาติ โดย อมร พวงงาม
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 23/5/2014 15:47

รู้ทันพนักงานเคลมประกันรถยนต์

ผู้ใช้รถยนต์ที่ทำประกันภัยรถยนต์ คงไม่อยากเจอกับพนักงานเคลมของบริษัทฯประกันภัย เป็นแน่แท้
เพราะถ้าเจอแล้วบางท่านอาจไม่ทราบว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไร มีวิธีเผชิญหน้ากับพนักงานเคลมประกันมาฝาก

พนักงานเคลมจะแบ่งลักษณะการเกิดเหตุ หลักๆดังนี้

1.เคลมแห้ง หมายถึง เคลมที่รถเกิดเหตุมานานแล้ว เพิ่งมาแจ้งเหตุ เช่น แผลขูดขีด เป็นต้น

2.เคลมสด หมายถึง เคลมที่รถชนกันสดๆ และยังมีผู้เสียหายในเหตุการณ์รออยู่

3.เคลมเสียหายมาก หมายถึง เคลมที่จะเกิดขึ้นสดๆหรือเกิดขึ้นนานแล้ว แต่เสียหายมากเพิ่งมาแจ้งเหตุ
เช่น รถเสียหายจนขับไม่ได้ นานมาแล้วเป็นอาทิตย์เพิ่งมาแจ้งเหตุ เป็นต้น

โดยทั่วไปแล้ว เรื่องที่จะมีปัญหาก็คือ แจ้งเคลมแห้ง เพราะในสัญญาประกันภัย ได้ระบุไว้ว่าหากเกิดเหตุ
ไม่ทราบคู่กรณี ท่านก็จะต้องถูกเก็บค่าเงื่อนไขไม่ทราบคู่กรณี

ฉะนั้นเวลารถฯของท่านเสียหายไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตามท่านจะต้องโทรศัพท์ แจ้งเหตุไปที่บริษัทฯประกัน
ในทันทีและต้อง ขอหมายเลขรับแจ้งและชื่อสกุลของพนักงานรับแจ้ง ไว้เป็นหลักฐานด้วยทุกครั้ง
เพราะพนักงานรับแจ้งเหตุ นั้นจะช่วยแนะนำท่าน ในสิ่งที่ท่านจะต้องทำต่อไปเช่น ถูกชนแล้วหลบหนี
ไปต่อหน้าต่อตาจะทำอย่างไร ทะเบียนรถที่ชนก็จำไม่ได้อีกซะเลย เป็นต้น
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 26/5/2014 09:58

สิ่งสำคัญหากขับรถชนกับรถคู่กรณีที่ไม่มีประกันภัยและรถของเราเป็นฝ่ายถูก
เราควรตรวจสอบกลับไปที่บริษัทฯประกันภัย ที่ท่านทำประกันทุกครั้งว่าตาม
รายงานอุบัติเหตุรถของเรา เป็นฝ่ายถูกจริงหรือไม่ ควรคุยกับระดับหัวหน้างาน
ของบริษัทฯ นั้นๆเพราะถ้าเป็นฝ่ายถูก เราจะได้รับส่วนลดประวัติดีในปีต่อไป

ทั้งนี้พนักงานเคลมบางบริษัทฯมีจริงๆไม่กี่คน นอกนั้นจ้างบริษัทเซอร์เวย์เยอร์
แปลเป็นไทยว่า บริษัท รับสำรวจภัย ซึ่งมีหน้าที่รับจ้างทำเคลมให้กับบริษัท
ประกันภัยต่างๆ ที่ แจ้งเหตุเข้ามา ซึ่งบางบริษัท เซอร์เวย์เยอร์ ก็ไม่มีสาขา
เรียกกันว่าเกิดเหตุ ที่จังหวัดนี้ก็ใช้บริการที่นี่ เป็นต้น อาจจะทำให้บริการไม่
ทั่วถึงในช่วงเวลาเร่งด่วนหรือในช่วงเทศกาล ซึ่งต่างกับ บริษัทประกันภัยที่มี
สาขาหรือศูนย์บริการคลอบคลุม อยู่ทุกพื้นที่การให้บริการ จะทำให้ไปถึงที่
เกิดเหตุได้รวดเร็วขึ้น

อีกเรื่องที่ถือว่าสำคัญก็คือ จรรยาบรรณ ในการประกอบวิชาชีพซึ่งรวมถึง
เรื่องของความรู้ใน ข้อกฎหมายในคดีรถชนกัน และมารยาทความเอาใจ
ใส่ในการบริการลูกค้าของพนักงาน เรื่องพวกนี้ถือว่าเป็นสาระสำคัญใน
การประกอบธุรกิจของ บริษัทประกันภัยให้มีเชื่อเสียงได้ยาวนาน
บริษัท เซอร์เวย์เยอร์ ต่างๆ บางบริษัทฯ มีมาตราฐานราคา ค่าสำรวจ
ก็จะมาตราฐานไปด้วย แต่ปัจจุบันบริษัทประกันภัย บางบริษัทฯก็ต้องการ
ลดต้นทุน หันไปใช้บริษัท เซอร์เวย์เยอร์ ที่ไม่มีมาตราฐานมาใช้งาน
เพราะค่าบริการถูก
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 28/5/2014 10:49

เคลม ฉ้อฉล เกิดขึ้นได้กับพนักงานเคลม ที่เรียกหรือถูกฝ่ายตรงข้ามท่านเสนอให้สินบน
เพื่อเขาจะได้เป็นฝ่ายถูกหรือไม่ก็บวกเพิ่ม ค่ารักษาพยาบาล ค่าปลงศพ ฯลฯ เป็นต้น
ซึ่งก่อนนัดจ่ายค่าสินไหมทดแทนต่างๆควร ตรวจสอบกับผู้บริหารของบริษัทประกันภัย
ให้ชัดเจนก่อนทุกครั้ง อย่าลืมโทรศัพท์เข้าไปสอบถามด้วยตนเองกับฝ่ายตรวจสอบของ
บริษัทประกันภัยหรือผู้จัดการสินไหมฯก็ได้ครับ ท่านจะได้รู้ว่าถูกใครเป็นผู้เอาเปรียบท่าน
กันแน่ บางครั้งบริษัทประกันฯ อาจเอาเปรียบท่านก็ควรเจรากันใหม่ ให้ยุติถ้าไม่ยุติหรือเห็นว่า
ไม่ยุติธรรมก็ให้ติดต่อสายด่วน กรมการประกันภัยได้ ที่เบอร์ 1186
ผู้โพสต์: d-credit    เวลา: 30/5/2014 15:35

รู้ทันค่าเสียหายส่วนแรก (Excess และ Deductible) ก่อนถูกประกันหลอก

ค่าเสียหายส่วนแรก (Excess และ Deductible)

เรามักจะได้ยินคำนี้เวลาพูดถึงการเคลมประกันภาคสมัครใจ แต่เราเข้าใจเรื่องนี้ดีพอมั้ยครับ
หรือเคยรู้มั้ยครับว่า บางครั้งการยอมจ่ายค่าเสียหายส่วนแรกกลับจะทำให้เราประหยัดค่าเบี้ยประกัน
ลงได้มากทีเดียว หรืออย่างน้อยก็เหมือนชะลอการจ่ายเบี้ยประกันให้ช้าลง ลองมาทำความเข้าใจกันดู

สำหรับความหมายโดยรวมของ "ค่าเสียหายส่วนแรก" คือ ค่าความเสียหายส่วนแรก แปลง่าย ๆ ก็คือ
ค่าสินไหมทดแทนส่วนแรกที่ผู้เอาประกันภัยตกลง (ปลงใจ - สมัครใจ) รับภาระเอง
โดยจะระบุไว้เป็นข้อตกลงในกรมธรรม์ นั่นเอง

ตัวอย่าง สมมติค่าเบี้ยประกันปกติอยู่ที่ 25,000 บาท แต่เราทำข้อตกลงกับบริษัทว่า
หากเกิดอุบัติเหตุแต่ละครั้ง เราจะจ่ายค่าเสียหายในส่วนแรก 5,000 บาท (อาจจะซ่อมรถเรา
หรือชดเชยค่าเสียต่อทรัพย์สินคนอื่น) เราจะได้สิทธิจ่ายเบี้ยประกันลดลง 5,000 บาท
( จ่ายเบี้ยทำประกันรถยนต์แค่ 20,000 บาท) ในระหว่างที่อยู่ในระยะประกันนั้น
ถ้าเกิดอุบัติเหตุและเราเป็นฝ่ายผิด เมื่อบริษัทประเมินความเสียหายแล้ว อยู่ที่ 8,000 บาท ดังนั้น
เราต้องจ่าย "ค่าเสียหายส่วนแรก" เป็นจำนวนเงิน 5,000 บาท ตามที่ได้ทำข้อตกลงไว้ตอนที่ทำ
กรมธรรม์ประกันรถยนต์ ส่วนที่เหลืออีก 3,000 บาท บริษัทจะจ่ายต่อไป แต่ถ้าความเสียหายไม่เกิน
5,000 บาท เราก็จ่ายให้คู่กรณีตามค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจริง




ยินดีต้อนรับสู่ HondaCityClub (http://hondacityclub.com/board/) Powered by Discuz! 7.2