Board logo

ชื่อกระทู้: E85, Ethanol, Gasohol ซาตานจริงหรือ รถใช้แก๊สก็อ่านได้ [สั่งพิมพ์]

ผู้โพสต์: moderndic    เวลา: 13/6/2011 16:37     ชื่อกระทู้: E85, Ethanol, Gasohol ซาตานจริงหรือ รถใช้แก๊สก็อ่านได้

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10/7/2011 22:29 โดย moderndic

เลิกกลัวจากข่าวลือเรื่องE85...!!! ลองอ่านดูได้ ข้อมูลจากวิกีพีเดีย(ภาคภาษาอังกฤษ) น่าจะพอเชื่อถือได้นะครับ ไม่ใช่นั่งเทียนเขียนเอง

Rumors about being corrosiveThere have been many rumors going around that E85, which is biodegradable in water, can corrode a vehicle's fuel system, including the fuel tank. Although E85 is corrosive, it is not much more corrosive than regular gasoline. The chemical properties of E85 are not what causes the corrosion; it is the water in E85 that may cause rust and block up the fuel system. In fact, gasoline also contains water, which is why vehicles' fuel systems are built to resist and prevent corrosion.

Vehicles today (mid-1980s and later) are built to withstand and resist corrosion, which means E85 is very unlikely to harm or corrode a vehicle's fuel system in any way

http://en.wikipedia.org/wiki/E85
ผู้โพสต์: owenn    เวลา: 13/6/2011 17:41

รอผู้แปล ครับ อิๆๆๆ
ผู้โพสต์: tontipong    เวลา: 13/6/2011 20:21

ข่าวลือเกี่ยวกับการเป็น corrosiveThere ได้รับข่าวลือจำนวนมากไปรอบ ๆ ที่ E85 ซึ่งสามารถย่อยสลายได้ในน้ำสามารถกัดระบบยานพาหนะรวมทั้งถังน้ำมันเชื้อเพลิง แม้ว่า E85 มีการกัดกร่อนจะไม่กัดกร่อนมากขึ้นกว่าน้ำมันเบนซินปกติ สมบัติทางเคมีของ E85 ไม่ได้สิ่งที่ทำให้เกิดการกัดกร่อน; มันเป็นน้ำใน E85 ที่อาจก่อให้เกิดสนิมและการอุดตันของระบบน้ำมันเชื้อเพลิง ในความเป็นจริงน้ำมันยังมีน้ำซึ่งเป็นเหตุผลที่ยาน'ระบบน้ำมันเชื้อเพลิงถูกสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านและป้องกันการกัดกร่อน

ยานพาหนะในวันนี้ (กลางปี​​ 1980 และหลังจากนั้น) ถูกสร้างขึ้นเพื่อทนต่อการกัดกร่อนและต้านทานซึ่งหมายถึง E85 มีโอกาสน้อยมากที่จะทำร้ายหรือเป็นสนิมระบบเชื้อเพลิงของรถในทางใดทาง


ผมแปลมาให้คราวๆแระคับ
ผู้โพสต์: moderndic    เวลา: 14/6/2011 11:55

มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับE85 ซึ่งย่อยสลายได้ตามธรรมชาติสามารถกัดกร่อนระบบเชื้อเพลิงของยานพาหนะรวมถึงถังน้ำมัน
แม้ว่า E85จะกัดกร่อน แต่ก็ไม่ได้กัดกร่อนมากไปกว่าน้ำมันเบนซินธรรมดา ตามคุณสมบัติทางเคมี E85ไม่ใช่สาเหตุของการกัดกร่อน แต่มันคือน้ำใน E85 ซึ่งอาจเป็นทำให้เกิดสนิมและอุดตันระบบน้ำมัน แต่ในความเป็นจริงน้ำมันเบนซินก็มีน้ำอยู่เหมือนกัน ซึ่งเป็นเหตุว่าทำไมระบบเชื้อเพลิงถูกออกแบบมาเพื่อต่อต้านและป้องกันการกัดกร่อนอยู่แล้ว
รถยนต์ในปัจจุบัน(กลางปี 1980และหลังจากนั้น) ถูกสร้างขึ้นเพื่อทนทานและต่อต้านการกัดกร่อน ซึ่งหมายความว่าE85 ทำให้เกิดความเสียหายหรือกัดกร่อนนั้นไม่น่าจะเป็นความจริงในทุกทาง

ขออภัยที่ไม่ได้แปลแต่แรก เพราะอยากจะให้เห็นที่มาที่แท้จริงโดยไม่บิดเบือนใดๆ
และความจริงในปัจจุบัน ประเทศไทยสามารถกลั่นEthanol สุดยอดได้เป็นอันดับต้นๆของโลก มีความบริสุทธิ์ 99.5% คือเหลือความชื้นแค่ 0.05% ในร้อยส่วน
ผู้โพสต์: moderndic    เวลา: 30/6/2011 18:38

มีใครมีคำถามหรือข้อมูลมาแลกเปลี่ยนกันครับ
ผู้โพสต์: jamesp_racy    เวลา: 7/7/2011 09:32

ผมไม่แน่ใจว่าเราจะเปลี่ยนมาใช้ E10 E20 เหมือนเดิมได้หรือไม่ (กรณีไปต่างจังหวัดที่ไม่มีปั้มE85) โดยที่ไม่สิ้นเปลืองน้ำมัน และตัว kit นี้จะเปลี่ยนเป็นระบบ E20 โดยอัตโนมัติ หรือว่าขึ้นอยู่กับตัว Oxygen Sensor เพียงอย่างเดียว และหากเป็นเช่นนั้น ตัว Oxygen Sensor ของน้องตี้ จะทำงานร่วมกับ kit ได้โดยมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด
ผู้โพสต์: datsun    เวลา: 7/7/2011 10:37

อยากทราบว่า
1. อัตราสิ้นเปลือง ถ้าใช้ E85 สำหรับ honda CITY 1500cc. นี้อยู่ที่เท่าไร (กิโลเมตรละกี่บาท) ครับ
2. และถ้าดัดแปลงรถได้ง่่ายแบบนี้ ทำไม Honda ไม่ทำมาจากโรงงานซะเลย
ผู้โพสต์: niranam    เวลา: 7/7/2011 14:58

ความเห้นส่วนตัวนะครับ
มีข้อมุลอยู่ นิดนึง เรื่องพลังงานของน้ำมันแต่ละชนิด ในปริมาณเท่ากัน เบนซิน 91 มีพลังงานโดยประมาณ  34 เมกะจูล
เบนซิน 95 และ 91 E10 มี 33 เมกะจูล E10 มี 32 เมกะจูล E85 มี 25 เมกะจูล ซึ่งเราจะสังเกตุได้ว่า ค่าพลังงาน มันจะมีค่าใกล้เคียงกับราคาน้ำมัน 1 ลิตร ณ ตอนนี้เลย จะเปรียบได้ง่ายขึ้น ซึ่ง E85 ตัวเดียว ที่มีค่าพลังงาน มากกว่าราคาน้ำมัน อยู่ ประมาณ 10% E10 และ E20 ค่าพลังงาน น้อยกว่าราคาน้ำมัน -6% พอๆ กัน ส่วน เบนซินธรรมดา มีค่าพลังงาน น้อยสุด ที่  -15% โดยประมาณ ก็ลองเทียบความแตกต่างเอาเองละกันนะครับ ลองเอาไปคำนวนอีกที
โดยส่วนตัว คิดว่า รถยนต์ ทำงานได้ก็ต้องอาศัย ค่าพลังงานที่เหมาะสม ในการจุดระเบิด ในห้องเผาไหม้
น้ำมันที่มีค่าพลังงานน้อย ก็ต้องใช้มากกว่าปกติ เพื่อให้ได้พลังงานที่เหมาะสมอย่างที่รถยนต์ต้องการ
เดี๋ยวนี้รถยนต์ใหม่มันฉลาด สามารถปรับความเข้มข้นของน้ำมันได้ เท่าที่ค่ายรถระบุไว้ให้เติมเพราะเขาคำนวนไว้แล้ว
เช่นคุณใคยใช้ 91 ธรรมดา และขับปกติ วันนึงเปลี่ยนเป็น E20 ระบบ ECU ก็คงปรับให้ฉีดน้ำมันเพิ่มอีกหน่อย เพื่อให้
ได้กำลังงานกลที่ออก เท่ากับ เบนซิน 91 ที่เคยใช้ ถ้าคุณคิดจะใช้ E85 ต้องติด กล่อง E85 Kit เพื่อให้ฉีดน้ำมันมากขึ้น
เพราะ ECU เดิมจำกัด แค่ E20 นอกจากนั้น มันฉีดไม่ได้มากกว่านี้ ถ้าฝืนเติม E85 โดยไม่ติด E85 KIT เครื่องยนต์ ก็ไม่มีกำลังพอ หรือสะอึกไปเลย  

ส่วนตัวผมใช้ 91 E10 ก็ดีแล้ว  E85 ประหยัดได้ไม่มากมายนัก อีกทั้งความแน่นอนของน้ำมันที่ใช้กับรถยนต์
ยังไม่มีใครรองรับแบบเต้มที่ และมันพึ่งเข้ามา ไม่มีใครรู้ในระยะยาว ผมเองก็ไม่อยากเอาเงินส่วนลดอันน้อย ไปแลก
กับความวิตกกังวล ที่ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน ถ้ามันประหยัดได้สัก 50% จะไม่คิดอะไรเลยเพราะยังดีกว่าแกส 555
ผู้โพสต์: moderndic    เวลา: 10/7/2011 20:14

ผมไม่แน่ใจว่าเราจะเปลี่ยนมาใช้ E10 E20 เหมือนเดิมได้หร ...
jamesp_racy โพสต์เมื่อ 7/7/2011 09:56


มีปุ่มปรับBooster ช่วยอีกขั้นหนึ่ง ที่สามารถใช้ช่วย Boostน้ำมันในกรณีขับแบบต้องการความแรง แต่ในทางตรงข้ามปุ่มนี้ก็จะสามารถใช้ในทางตรงข้ามลดการฉีดจ่ายในกรณีต้องใช้ E10 หรือ20 เป็นระยะเวลานาน
ผู้โพสต์: moderndic    เวลา: 10/7/2011 20:16

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10/7/2011 20:45 โดย moderndic
อยากทราบว่า
1. อัตราสิ้นเปลือง ถ้าใช้ E85 สำหรับ honda CITY 15 ...
datsun โพสต์เมื่อ 7/7/2011 11:01


1. ตอบยากเกินครับ ปัจจัยแวดล้อมและพฤติกรรมการขับขี่แตกต่างกันก็ทำให้รถรุ่นเดียวกันปีเดียวกัน ออกห้างวันเดียวกันกินน้ำมันไม่เหมือนกันแล้ว  แต่ถัวเฉลี่ยน่าจะประหยัดค่าน้ำมันได้ประมาณ 20%

2. ถ้าบริษัทปล่อยข้อมูลออกมาหมด แล้วจะขายอะไรละครับ Prototype คันหนึ่งยังเอามาพัฒาสู่ตลาดได้ไม่รู้กี่รุ่น ในทางกลับกัน ทำไมถึงตอนนี้ยังไม่มีบริษัทรถยนต์ค่ายไหนออกมา ประกาศอย่างเป็นทางการเลยว่า "ห้ามใช้ E85"  มีแต่พวกช่างตัวเล็กตัวน้อยพูดเป็นการส่วนตัว ใช้ความรู้เดิมๆพูดไปเรื่อยเปื่อย
ผู้โพสต์: moderndic    เวลา: 10/7/2011 20:54

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10/7/2011 21:48 โดย moderndic

ตอบกลับ 8# niranam

ขออนุญาติปรบมือให้ท่าน niranam ดังๆเลยครับ
ท่านเป็นผู้ที่ใช้ค่า Joule ไม่ได้เหมือนบางท่านที่เอาแต่พูดเรื่องค่าความร้อน หรือ BTU อยู่ตลอด แม้แต่รายการ Speed Channel ที่ออกอากาศทางUBC และทำเป็น GURU ก็ยังปล่อยไก่เรื่องใช้ค่าความร้อน และฟันธงราวกับ E85 เป็นซาตาน ไม่รู้วันหนึ่งพิธีกรทั้งสามคนเมื่อรู้ตัวจะทำหน้ายังงัย ใครใช้ความร้อนในการขับเคลื่อนลูกสูบบ้างหละ
จากการวิจัย
ใช้ลองจุดไฟ ไม้ 1 1/4 ปอนด์ -  น้ำมันเชื้อเพลิง 1 ถ้วย  -   ไดนาไมต์ 4 ปอนด์  
ทั้งสามชนิดนี้ ให้ความร้อนเท่ากันที่ 7000 Btu  แต่ไม้ใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะให้พลังงาน(Energy) น้ำมัน 2.5 milliseconds แต่ไดนาไมต์ใช้ 4 microseconds แล้วอย่างนี้ผลมันเหมือนกันอย่างไรทั้งๆที่มีค่าความร้อนที่เท่ากัน แล้วผลปฎิกริยาของมันเหมือนกันไหมล่ะ

ส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งคืออุณหภูมิสะสมในเครื่องยนต์
เบนซินประมาณ     280-300 องศาC
LPG ประมาณ      450        องศา
NGV ประมาณ      600       องศา
ส่วน E85 ประมาณ   250       องศา

อุณหภูมิที่ลดลงหมายถึงประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบระบายความร้อนสะสมเพื่อลดภาระของเครื่องยนต์ หรือประสิทธิภาพของน้ำมันหล่อลื่นที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งออกซิเจนที่มีปริมาณมากขึ้นจากโมเลกุลของ Ethanol ช่วยให้การเผาไหม้ที่สะอาดและสมบูรณ์มากขึ้น รวมถึง Gravity ของ Ethanol ที่มีมากกว่าร่วม 10% ( Ethanol 0.794 , Gasoline 0.70-0.78) นั่นหมายถึง Ethanol มีมวลหรือเนื้อมากกว่าในปริมาตรที่เท่ากัน สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นองค์ประกอบว่าทำไม ถ้ามีการฉีดจ่ายน้ำมันเพิ่มในประมาณที่เหมาะสมจากอุปกรณ์เสริมที่ทำมาโดยเฉพาะจะกินน้ำมันได้มีประสิทธิภาพมากกว่ารถที่เติม E85 โดยไม่มีอุปกรณ์ชุด Kitนี้เพิ่มขึ้นมา และที่สำคัญที่สุดก็คือการออกแบบและดีไซน์ทั้ง Hardware และ Software จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง แล้วอย่างนี้ชุด Kit ที่มีขายอยู่เยอะแยะหลายยี่ห้อ จะให้ความสามารถที่เหมือนกันได้อย่างไร???

ปล. ถ้าประหยัดได้กว่า 50% คงต้องรอไปอีกนานครับกว่า Technology จะพัฒนาไปถึง ถ้ากังวลมาหรือไม่สบายใจกก็ใช้แบบเดิมๆไปก่อนดีกว่านะครับ รอให้เกิดความมั่นใจก่อนค่อยใช้ อย่างว่า รถใครใครก็รักครับ


เดี๋ยวมีโอกาสจะมาคุยต่อประเด็นการกัดกร่อน และ จริงหรือที่ระใช้ LPG ต้องใช้แต่ Benzene 91หรือ95 ห้ามใช้ Gasohol 91หรือ Gasohol95


HP+  E85 Kit   ไม่ใช่เชี่ยวชาญเฉพาะE85 Kit แต่รู้จริงเรื่อง Ethanol !!!
ผู้โพสต์: niranam    เวลา: 11/7/2011 15:03

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11/7/2011 16:10 โดย niranam

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11/7/2011 15:58 โดย niranam

ขอตอบกลับนะครับ เรื่องค่าพลังงาน ของน้ำมันแต่ละชนิด น้ำมันก็คือกลุ่มของของเหลว ที่มีการเผาไหม้เหมือนกัน
อัตราความเร็วการเผาไหม้ใกล้เคียงกัน กรรมวิธีการแปลงพลังงาน ความร้อนเป้นพลังงานกล เหมือนกัน ทุกอย่าง
ค่าพลังงานจึงเป็นค่าตัวแปรที่สำคัญในการเปรียบเที่ยบ ที่ผมบอกอย่างนั่นเพราะผมเรียนทางด้านวิศวกรรมยานยนต์
มาผมถึงใช้ความรู้กรั่นกรองข้อมูลที่สำคัญมาเปรียบเทียบ

เทคโนโลยีที่ใช้ทำการดเผาไหม้คือ เครื่องยนต์ i-vtec 1500 cc เป็นกลไกเดียวในการแปลงค่าพลังงานความร้อน
ให้เป้นพลังงานกล ในเมื่อตัวแปรทุกอย่างถูกจำกัดไว้ด้วยเทคดนโลยีเครื่องยนต์นี้ ดังนั้นตัวแปรเดียวที่จะสามารถ บ่งชี้
ถึงความแตกต่างของน้ำมันแต่ละชนิดคือ ค่าความร้อน
กฎของพลังงานคือ พลังงานเข้า = พลังงานออก
ถ้าพลังงานเข้า มีค่าน้อย = พลังงานออกมีค่าน้อยตาม
มีทางเดียวคือ ต้องเพิ่มพลังงานเข้าไป หรือไม่ก็ เพิ่มความเข้มข้นของสสาร ด้านพลังงานเข้า  คุณคงเข้าใจ

ถ้าจะให้พลังงานเข้าเท่าเดิม แต่ให้พลังงานออกเพิ่มขึ้น
มีทางเดียวคือต้องเปลี่ยนกรรมวิธีการแปลงค่าพลังงานหรือพัฒนาอุปกรณ์นั้นให้ใช้พลังงานได้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น
หรือพูดง่ายๆ คือ ต้องเปลี่ยน เทคโนโลยีของ i-vtec ใหม่ให้ใช้พลังงานได้คุ้มค่ามากขึ้น
ดังนั้น แค่คำนวณ ค่าพลังงาน และราคาน้ำมัน เปรียบเที่ยบกัน ก็พอสรุปได้แล้ว ที่เหลืออยู่ที่การจูน
ถ้าจูนบาง ก็ประหยัดได้เช่นกัน แต่รอบจะตกที่ความเร็วสูง ถ้าตัว ecu สามารถปรับและเลือกได้
แบบความเร้วต่ำประหยัดไป 15% ความเร็วสูงกินปกติ มันก็ประหยัดได้ อยู่ที่เทคโนโลยีการปรับสัดส่วนน้ำมันล้วนๆ

คุณตอบแบบกำปั้นทุบดินเกินไป ไม้ ไดนาไมค์ อะไรนั่นกรรมวิธีการใช้ความร้อนมันต่างกัน เหตุผลการใช้พลังงานก็ต่างกัน
แบบนั้น แค่ค่าพลังงาน ก็ใช้วัดไม่ได้อย่างที่คุณบอก ลองทบทวนดูให้ดี ถือว่าแลกความรู้กัน

เป้าหมายในการใช้ e85 คือลดภาระค่าน้ำมันลง 20-40% อย่างที่ e85 kit บอกไว้
แต่ที่ผมคิดเปรียบเที่ยบดู ได้ที่ 15-20% ของราคาน้ำมัน ยังไม่รวมเรื่องจุกจิกของระบบน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ไม่แน่ชัด อาจไม่มากแต่ชวนปวดหัว

คำตอบที่ดีที่สุดคือ การขับระยะทางไกลแล้ววัดระยะทางคิดเงินออกมา หักลบเป้นเปอร์เซนต์ออกมา
ถ้ามีข้อมูลส่วนนี้มา เรื่องทษฎีอะไรนั่นก็ไม่ต้องพูดถึงเลย ที่พูดถึงเพราะมันไม่มีใครเอามาโชว์ให้ดู แต่แต่คำพูดเป็นค่า % ทางทฤษฎีกัน
city ผมวิ่ง กทมไปลำปาง ที่ความเร็วเฉลี่ย 100 km/h พัก 2 จุด หมดค่าน้ำมันไปประมาณ 1200 บาท ที่ระยะทาง 590 km เติม เบนซิน 91 e10.
ตก 2.04 บาท ต่อ km ถ้าe85 kit ทำให้วิ่งไกลใช้เงิน 1.3-1.6 บาท/กม ได้ มันถึงจะน่าเชื่อถือ ไม่ทราบว่า ก่อนเอามาขายมีทดสอบให้ลูกค้าดูกันบ้างยังคับ
ที่ผมค้านก็เพราะผมคิออยู่เสมอว่า ก่อนที่เราจะขายอะไรสักอย่างให้ลูกค้า เราต้องพิสูจเองก่อน ให้เป้นจุดขาย ให้ลูกค้าเห็นข้อดี ถึงความประหยัด
แล้วถ้าเขารู้ เขาทราบ เขาก็จะใช้ และเอามาแบ่งประสบการณ์ที่ได้ให้เพื่อนๆฟัง เหมือนแกส ที่มีคนนำเอา ข้อมูลระยะทางการใช้น้ำมัน มาแบ่งให้ทราบจนทั่วกัน
และทำให้มั่นใจกันทั่วหน้า และต่างก็คำนวณราคา จุดคุ้มทุนที่ตนเองพอใจ และยอมที่จะจ่าย เพื่อแลกกับการลดลงของภาระค่าใช้จ่าย
ผู้โพสต์: moderndic    เวลา: 13/7/2011 23:52

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14/7/2011 20:43 โดย moderndic

การทดสอบมีมากมายอยู่แล้วทั้งบราซิล อเมริกา ยุโรป หลายประเทศเป็นระยะเวลาหลายปีแล้ว เค้าพิสูจน์กันไปนานแล้ว หัวข้อที่ยังคงถกเถียงกันในปัจจุบันที่แคนาดาและอเมริกา คือเรื่องการกระทบกระเทือนต่ออาหารของมนุษย์และสัตว์เพราะEthanol ผลิตจากพืชที่เป็นอาหารเสียส่วนใหญ่
สำหรับการพิสูจน์ในประเทศไทยนั้นมีพิสูจน์ไปแล้วด้วยปริมาณพอสมควร จนถึงขณะนี้เราได้มีการติด HP+ E85 Kit ไปแล้วกว่า1000คันในตลาดรวมกว่า 3000คัน คงจะพอน่าเชื่อถือได้บ้างถ้าไม่มีอคติจนเกินไป ซึ่งถ้าจำนวนกว่า 3000คันที่ได้ใช้และมีปัญหาคงต้องเป็นเรื่องTalk of the town ไปแล้ว ตลาดหรือผู้ค้าผลิตภัณฑ์ประเภทนี้คงต้องเลิกไปแล้วอย่างแน่นอนเพราะผู้บริโภคคงต้องด่ากระจายไปแล้ว หรือไม่ก็ต้องแจ้ง สคบ.ไปเป็นเรื่องแน่นอน

การประหยัดนั้นไม่ใช่เรื่องของการกินน้ำมันน้อยลง แต่เป็นเพราะราคาน้ำมันกว่าเมื่อหักลบกับปริมาณที่กินเพิ่มขึ้นกันแล้วจะประหยัดได้เฉลี่ยประมาณ20% เมื่อใช้โครงสร้งราคาน้ำมันในปัจจุบัน บางคันได้มากกว่าบางคันได้น้อยกว่า ซึ่งมาจากปัจจัยแวดล้อมหลายประการแม้กระทั่งลมยาง ซึ่งคุณในฐานะที่บอกว่าจบมาด้านนี้โดยตรงควรจะทราบเป็นอย่างดี รถรุ่นเดียวกัน ออกวันเดียวกันแต่ดูแลรักษาไม่เหมือนกัน การบริโภคน้ำมันก็แตกต่างกันแล้ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะไปเปรียบเทียบอะไรเป็นมาตรฐานหรือบรรทัดฐานชัดเจนได้กับตลาดรถยนต์ใช้แล้วในมุมกว้าง แต่เป็นทางเลือกเมื่อเทียบกับการไม่ดัดแปลงสภาพรถ ความปลอดภัยจากความกลัวอันตรายของผู้ใช้รถในเรื่องของเพลิงไหม้ ซึ่งถึงแม้ว่าโอกาสในการเกิดเหตุการดังกล่าวจะเกิดขึ้นน้อยมากๆก็ตาม หรือแม้แต่สภาพเครื่องยนต์ที่โทรมเร็วกว่ารถใช้น้ำมันอันเนื่องจากอุณหภูมิสะสมที่สูง แต่ก็มีรถใช้แก๊สที่ทุ่มเทเวลาอย่างมากในการดูแลรักษาแล้วสามารถวิ่งได้ถึง300,000กม. แต่ก็อีกเช่นกันว่าไม่ใช่ทุกคัน

การตอบเรื่อง BTU ทั้ง3ชนิดให้ค่าความร้อนเท่ากันจริง ตามการทดลองอยู่จริง ถ้าท่านจะบอกว่าเป็นการตอบแบบกำปั้นทุบดินเพราะเหตุผลอย่างใด ผมก็ไม่ทราบได้ เพราะมันคือการทดลองจริงทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เป็นการบอกต่อ หรือบอกเล่าแบบที่ท่านต้องการตามลักษณธการต้องการข้อมูลของท่าน ลองไปหาอ่านดู Alcohol can be gas ในนั้นจะมีอธิบายข้อมูลและพูดถึงความเชื่อหรือข่าวลืออย่างละเอียด อาจจะเปิดมุมมองได้บ้าง มีบางคนรู้ช้า บางคนรู้เร็ว ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา สำคัญอยู่ที่การเปิดกว้างของการรับรู้ข่าวสาร เรื่องที่ยังไม่รู้อาจเป็นเพราะยังไม่เข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่เปลี่ยนแปลงไป มิใช่ไม่มีอยู่จริง

การจบการศึกษาสาขาใดสาขาหนึ่งก็มิได้เป็นการรับประกันได้ถึงการเป็นเอกในด้านนั้นอย่างแตกฉานเสมอไป GPA 2.01 หรือ ได้ Honor 4.00 ก็อาจจะมีข้อแตกต่างกันในเชิงสาขาวิชา ไม่ใช่นักศึกษาที่จบสาขาวิชาเดียวกันจะต้องรู้เท่าเทียมกันทุกคน การอ่านหรือการศึกษาก็สามารถเกิดได้ทั้งจากการค้นคว้าทดลอง หรือเรียนรู้สิ่งต่างๆจากการสืบทอดของชนรุ่นก่อนๆ ตั้งแต่ความเชื่อเรื่องโลกแบน จนเปลี่ยนไปเป็นโลกกลม ซึ่งย่อมต้องมีการปรับปรุงและปรับเปลี่ยนตามสิ่งที่ได้มีการค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเและความจริงเพิ่มเติมจากชนรุ่นหลังๆ และที่สำคัญ มันคงจะเป็นไปได้ยากที่จะทำให้ระดับการรับรู้ของคนเท่ากัน เพราะการเปิดใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ถึงจะมีขั้นตอนการยอมรับที่เรียกกันว่า Adoption Process
แม้แต่LPG กว่าจะถึงวันนีั้ ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า30ปี แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ในหมู่ผู้ใช้ว่า เติมGasohol E10 ไม่ได้ ต้องเติมแต่Benzene เท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลกใจพอสมควร
ผู้โพสต์: moderndic    เวลา: 14/7/2011 20:27

แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14/7/2011 21:00 โดย moderndic

เอามาฝากอีกครั้ง

รถใช้แก๊สสามารถใช้ Gasohol E10 ได้ครับ

แต่ต้องระวังปัญหา2เรื่่อง
1. ปัญหาอุดตันของ Sludge ที่Ethanolไปล้างมาสะสมที่ไส้กรอง เมื่อใช้Gasohol ครั้งแรก ซึ่งเรื่องนี้ ปตท.เคยเผยแพร่ไว้นานแล้ว
ตามลิงค์ http://www.topboosters.net/wizCo ... &txtmMenu_ID=56
2. ปัญหาPhase Seperation หรือที่เรียกกันว่าน้ำมันบูด หรือน้ำมันเน่า(มันมีกลิ่นเหม็น)
มันคืออาการของน้ำหรือความชื้นเกิดขึ้นในถังน้ำมันของคุณ อันเนื่องมาจากน้ำมันเบนซินมีสูตรโมเลกุลทางเคมีเช่น C6H6 เอทานอลจะมี OHเพิ่มขึ้นมาเช่น C2H5OH ประเด็นก็คือเมื่อรถใช้แกส ส่วนมากจะใช้น้ำมันสำหรับสตาร์ทแล้วกลับไปใช้LPG หรือNGV เป็นพลังงานในการขับขี่ น้ำมันเชื้อเพลิงในถังถูกใช้ไปน้อยทำให้เกิดการหมุนเวียนต่ำ และโดยตรรกะ เราไม่สามรถที่จะรักษาน้ำมันในถังให้อยู่ในระดับเต็มเปี่ยมตลอดเวลา เมื่อน้ำมันพร่อง สิ่งที่เข้าไปแทนที่คืออากาศ ไฮโดรเจน(H)หรือออกซิเจน(O) ก็จะไปทำปฎิกริยากับอากาศในถังน้ำมันซึ่งไม่ค่อยมีการหมุนเวียนกลั่นตัวเป็นความชื้นและหยดน้ำสะสมอยู่ในถังน้ำมัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เอทานอลซึ่งมีโมเลกุล O และH เป็นของแถมมา(ซึ่งแท้จริงเป็นของดีมาก) ก็จะยิ่งทำให้เกิดความชื้นสะสมเร็วกว่าน้ำมันเบนซินที่ไม่มีเอทานอลผสมอยู่ (ในเบนซินธรรมดาก็เกิดขึ้นด้วยจากH แต่จะเกิดขึ้นช้ากว่าช้ากว่า) น้ำและความชื้นสะสมในถังน้ำมันนี่เองที่จะเกิดการกัดกร่อนหรือที่เราเรียกว่าปฎิกริยา Oxidation (เหมือนเหล็กที่ขึ้นสนิม) ซึ่งแถมยังมีฤิทธิ์เป็นกรดด้วย ไปกัดกร่อนชิ้นส่วนต่างๆ ปัญหามิได้เกิดจากเอทานอลหรือE10โดยตรง
Sludge(คราบสิ่งสกปรกจากสารประกอบไฮโดรคาร์บอน และสิ่งสกปรก เหล่านั้นมาจากไหน อาจจะมาจากการกัดกร่อนอันเนื่องมาจากการOxidation ของน้ำที่สะสมอยู่เดิมในถังน้ำมันซึ่งมีฤิทธิ์เป็นกรด ถามต่อว่าน้ำมาจากไหนทั้งๆที่ก่อนหน้าที่ไม่ได้ใช้E10 คำตอบที่พอเป็นไปได้คือจากการเติมน้ำมันที่มีปริมาณความชื้นเข้าไปอาจจะจากปั้มน้ำมัน ผมไม่ได้ระบุว่ามาจากการจงใจผสมน้ำลงในถังน้ำมันของปั้มน้ำมันนะครับ แต่ความเป็นจริงก็คือถังเก็บน้ำมันใต้ดินในปั้มน้ำมันนั้นมีความชื้นหรือน้ำผสมอยู่ด้วยทั้งนั้นถึงแม้ไม่ได้ตั้งใจก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเบนซิน ดีเซล หรือแกสโซฮอลล์ อาจจะมาจากน้ำท่วมหัวลงน้ำมันหรือความชื้นสะสมในถังน้ำมันใต้ดินเป็นระยะเวลานานๆ สถานีบริการน้ำมันที่ก่อสร้างเมื่อไม่กี่ปีมานี้จะมีระบบคอมคอยควบคุมปริมาณน้ำมัน(วัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการลงน้ำมันเถื่อนและการตัดสต๊อกต่อยอดขาย)รวมถึงคอยเตือนปริมาณน้ำที่สะสมอยู่ในถังน้ำมันใต้ดิน ถ้าหากมีปริมาณมากเกินระบบก็จะส่งสัญญานเตือนให้ทำการสูบน้ำที่ผสมอยู่ข้างล่างออก แต่ถ้าเป็นปั้มรุ่นเก่าที่สร้างมานานแล้วจะไม่มีระบบนี้ซึ่งจะไม่สามารถทราบปริมาณน้ำในถังใต้ดินได้เลยจนกว่าเติมใส่รถลูกค้าแล้วเกิดอาการผิดปกติ นั่นหมายถึงว่ามีปริมาณน้ำมากมายแล้ว ปั้มยิ่งใหม่คนเข้าเติมเยอะการหมุนเวียนน้ำมันมีมาก ปั้มเก่าๆคนเติมน้อยการหมุนเวียนน้ำมันช้าโอกาสเกิดการ Phase Seperationในถังน้ำมันใต้ดินย่อมมีมากกว่า คือมันอาจจะเกิดมาตั้งแต่น้ำมันอยู่ในปั้มแล้วไม่ใช่เพิ่งมาเกิดในถังน้ำมันรถเรา นี่คือเหตุที่ว่าทำไมเวลาเติมน้ำมันควรเลือกสถานีบริการที่ใหม่มากกว่าที่ก่อสร้างมาแล้วนานๆ

Phase Sepearion ไม่เพียงก่อให้เกิดปัญหาในการกัดกร่อนภายในเท่านั้น แต่ทำให้น้ำมันที่อยู่ในถังลดคุณภาพไปด้วย คือสูญเสียอะตอมไฮโดรเจน(H) ซึ่งเป็นพลังงานสำคัญในเชื้อเพลิงไป เพราะมันหนีไปแต่งงานกับออกซิเจนกลายเป็นความชื้นไป ถึงเป็นที่มาของคำว่า"น้ำมันเสีย"ถ้าเราเก็บไว้นานๆไม่ว่าชนิดไหนก็ตาม
ผู้โพสต์: moderndic    เวลา: 14/7/2011 20:27

วิธีแก้ก็คือ
- ก่อนใช้ให้ล้างทำความสะอาดถังน้ำมัน หากรถใช้งานมาแล้วเป็นระยะเวลานานพอสมควร
-พยายามใช้น้ำมันให้มากขึ้นเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนและช่วยการสะสมให้น้อยลง อีกทั้งยังเป็นการหล่อลื่นระบบด้วย
-เวลาเติมน้ำมันพยายามเลือกปั๊มที่ค่อนข้างใหม่ มีการหมุนเวียนน้ำมันสูง
-ใช้น้ำยาป้องกัน Phase Seperation

LPG เป็นพลังงานทางเลือก หากใช้อย่างเข้าใจ ปัญหาก็จะน้อยลง บางคันใช้ได้ไม่กี่หมื่นกิโลแตบางคันใช้ได้หลายแสนกิโล สี่แสนกิโลก็ยังมี ทั้งนี้อยู่ที่การดูแลรักษาเป็นสิ่งสำคัญ

ขอแถมเรื่องGasohol ระเหยไว

http://thaidriver.com/magazine-preview/oil/oil.html


โปรดใช้วิจารณญานในการอ่านด้วยครับ คงเป็นประโยชน์บ้างนะครับ




ยินดีต้อนรับสู่ HondaCityClub (http://hondacityclub.com/board/) Powered by Discuz! 7.2